วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

บันได 7 ขั้นสู่ความสำเร็จ

เรื่อง : วันที่ 3 พฤศจิกายน 2558
337 Views

บันได 7 ขั้นสู่ความสำเร็จ


บางคนอาจมองว่าเส้นทางสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นั้น ล้วนเต็มไปด้วยอุปสรรค ขวากหนามสารพัด เป็นเส้นทางที่ยากเย็นแสนเข็น จึงทำให้ไม่ไปถึงเส้นชัยเสียที แต่กับคนที่ทำสำเร็จ เขารวบรวมพลังทั้งมวล ฝ่าฟันอุปสรรคด้วยความวิริยะอุตสาหะ มุ่งมั่น อดทน จนกระทั่งไปสู่จุดสูงสุด นี้คำตอบว่าทำไมคนรวยจึงมีแต่รวยยิ่งขึ้น

          ในที่นี้ชี้ช่องรวยขอเปรียบเทียบ “ความสำเร็จ” ว่าเป็นเสมือน “ดวงดาว” และจะเสนอขั้นตอนที่จะนำท่านไปสู่ความสำเร็จ หรือไปสู่ดวงดาว ดังต่อไปนี้

ขั้นที่ 1 ตัดสินใจให้เด็ดขาดว่าจะเป็น “ดาว” 
          ขั้นนี้สำคัญมาก ต้องแน่ใจว่าเราไม่ได้ใฝ่ต่ำ ไม่ได้ต้องการเป็นแค่หิ่งห้อย ตะเกียง หลอดไฟ หรือแม้แต่ประทัดที่ดังแค่แป๊บๆ มีแสงแค่แปร๊บปร๊าบ ยังจำคำพูดที่ว่า “ขนาดของการกระทำ อยู่ที่ขนาดของการคิด” กันได้ใช่ไหมครับ จำไว้อีกคำหนึ่งว่า “เป้าหมายและแผนการเล็กๆ นั้น ไม่มีผลอะไรในการเปลี่ยนแปลงชีวิต”

ขั้นที่ 2 หายานพาหนะที่เหมาะสม
          เราต้องการจรวด หรือยานอวกาศเท่านั้น ไม่ใช่จักรยาน มอเตอร์ไซค์ หรือคอปเตอร์ไม้ไผ่ของโดราเอมอน หรือแม้แต่รถแข่งสูตร 1 ไปจนถึงเครื่องบินที่บินเร็วเหนือเสียงก็ยังไม่เพียงพอ ต้องเป็นจรวด หรือยานอวกาศเท่านั้น! เช่น อยากมั่งคั่งร่ำรวยแต่ดันมัวไปขายน้ำเต้าหู้อยู่หน้าบ้าน แบบนี้เมื่อไหร่จะรวย (ต้องแน่ใจว่าเราพาตัวเองไปอยู่ในอาชีพที่ถูกต้อง ไปอยู่กับองค์กร สินค้า/ บริการที่ถูกต้อง)

ขั้นที่ 3 ต้องมีเชื้อเพลิงและพลังงานมากเพียงพอ
           มากเพียงพอที่จะทะยานหนีแรงโน้มถ่วง แรงดึงดูดของโลกให้ได้ เทียบได้กับความอดทน ความมุ่งมั่น ความพากเพียร ความไม่ยอมแพ้ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งมวล

ขั้นที่ 4 เหยียบคันเร่งให้มิด
          ห้ามแตะเบรก ชนเป็นชน อย่าเป็นคนกล้าๆ กลัวๆ มีแต่ความโลเล มีแต่ความลังเล มีแต่ความเคลือบแคลงสงสัย อย่ามัวแต่ตั้งคำถามงี่เง่าไร้สาระ

ขั้นที่ 5 อย่าจอดแวะเป็นอันขาด
          เพราะในขณะที่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้านั้น อาจมีของสวยๆ งามๆ ล่อตาล่อใจให้เราวอกแวกได้ เช่น มวลหมู่ก้อนเมฆอันวิจิตรพิสดาร สวรรค์ชั้นฟ้าต่างๆ ที่เราผ่านไปชวนให้หลงใหลน่าดูชม ขบวนนางฟ้านางสวรรค์ใส่ชุดว่ายน้ำทูพีชมาร่ายรำยั่วยวนให้หวั่นไหว สรุปคือไม่ต้องจอดดูสวรรค์วิมานอะไรทั้งนั้น!

ขั้นที่ 6 อย่าเกลือกกลั้วกับพวกที่ไม่ใช่ “ดาว”
           เช่น พวกดาวเทียม หรือพวกอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่ดูเผินๆ ก็คล้ายๆ ดาว พวกนี้มีวงโคจรต่ำ ไม่ถาวร เสี่ยงกับการถูกดูดลงสู่พื้นโลก หรือถูกทำลายเมื่อหมดประโยชน์ ถ้าเรามัวหลงว่ามาถึงเส้นชัยแล้ว เข้าไปเกลือกกลั้วด้วย ก็จะต้องไปลอยอยู่ร่วมกันกับพวกนี้อย่างเปะปะ เกะกะ สับสน เสี่ยงต่อการชนกันเองตลอดเวลา (เทียบได้กับการที่ต้องเลือกเข้าไปอยู่ในหมู่คนคิดใหญ่ คนที่ประสบความสำเร็จ จงจำไว้ว่าพญาอินทรี ย่อมไม่ไปคลุกคลีกับอีแร้ง!) ตาดูดาว เท้าก็ต้องอยู่คู่กับตา ไอ้ที่บอกว่าตาดูดาว เท้าติดดินนั้น ใช้ไม่ได้กับกรณีนี้ เพราะถ้าขืนทำอย่างนั้น ทั้งตีน ทั้งตา เป็นต้องถลาหัวทิ่มดิน!

ขั้นที่ 7 ทำหน้าที่ให้สมกับเป็น “ดาว”
          มาถึงขั้นนี้นี่เราก็เป็นดาวแล้ว มีวงโคจร มีแรงดึงดูดเป็นของตัวเองแล้ว จงทำหน้าที่ให้ดี ให้สง่างาม จงรับแสง สะท้อนแสง จงหมุนรอบตัวเอง หมุนรอบดวงอาทิตย์ และให้ผู้อื่น (ดาวบริวาร) มาหมุนรอบ สรุปคือต้องช่วยคนอื่น ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์ แม้จะเป็นดาวแล้วก็อย่าทะนงตน ทำตัวโหลยโท่ย แม้จะไม่ถึงกับหล่นหายไปจากฟากฟ้า แต่ก็อาจถูกปลดไปเป็น “ดาวเคราะห์แคระ” อย่างดาวพลูโตได้เหมือนกัน เสียบุคลิกหมดเลย
          บางคนพัฒนาตนเองจนยิ่งใหญ่ เป็นดวงดาวที่มีสถานะอยู่เหนือหมู่ดาวด้วยกัน เป็นดวงดาวที่อยู่ในระดับ “ดาวฤกษ์” ที่มีแสงสว่างในตัวเอง และบางคนอีกเช่นกัน ที่แรกๆ ก็ทำท่าจะดี เห็นทีแรกนึกว่า “ดวงดาว” ที่ไหนได้ก็แค่ “ผีพุ่งไต้” เท่านั้นเอง!

ที่มา : นิตยสารชี้ช่องรวย

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558




Platform ใหม่...ของชีวิต



ความจริงที่มันเกิดขึ้นในวันนี้ก็คือ...โลกมันเปลี่ยนไป...เขาเรียกว่า...Platform ของโลกมันเปลี่ยนใหม่...ถ้าเราจะตามโลกให้ทัน...Platform คือรูปแบบ...เราก็ต้องเปลี่ยน Platform ตาม...สิ่งที่คุณจะได้คือ...Platform ใหม่ของชีวิต...ทีนี้...เราลองมาไล่เรียงดูรายละเอียดแต่ละข้อครับ...ว่ามีอะไรบ้าง…



Platform ใหม่ของชีวิต...

1. เราต้องมีกระบวนทัศน์ใหม่...วิธีคิดแบบใหม่...กล้าแตกต่าง...กล้าย้อนศร...วิสัยทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงโลกได้...



การมีวิสัยทัศน์...สำคัญมากที่สุด...ต่อความสำเร็จของคนยุคนี้...เราต้องอยู่...อย่างมีวิสัยทัศน์...เราต้องดูว่า...อะไรจะเกิดขึ้น...ในอีก 5 ปี...10 ปีข้างหน้า...



เพื่อเราจะได้...ไม่ตกเป็นเหยื่อของธุรกิจแฟชั่น...ไม่อยากล้มเหลวในการทำธุรกิจ...ไม่อยากตกเป็นเหยื่อของธุรกิจแฟชั่น...เราต้องแยกให้ออกว่า...อันไหนมัน...ธุรกิจวิชั่น...อันไหนมันธุรกิจแฟชั่น...เราต้องมองให้ออกว่า...



ธุรกิจวิชั่น...กับธุรกิจแฟชั่น...มันต่างกันยังไง...? อะไรคือวิชั่น...อะไรคือแฟชั่น...? ตู้สติ๊กเกอร์...แฟชั่น...ชานมไข่มุก...แฟชั่น...พวกนี้คือ...ธุรกิจแฟชั่น...มาแป๊บๆ แล้วก็หายไป...



อะไรคือวิชั่น...อะไรคือแฟชั่น...? ชาเขียว...อยู่ยั่งยืนกว่า...ชานมไข่มุก...ยืนอยู่ในตลาดได้นานกว่า...เพราะมันคือ...ธุรกิจวิชั่น...ธุรกิจแฟชั่นอยู่ได้...เฉพาะเจ้าใหญ่ๆ ไม่กี่เจ้า...คนรักษาสุขภาพมากขึ้น...ดื่มน้ำอัดลมกันน้อยลง...หันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น...กินอาหารเสริม...กินอาหารเกี่ยวกับสุขภาพมากขึ้น...สินค้าที่เกี่ยวกับสุขภาพ...คือธุรกิจ...วิชั่น...



สินค้าตัวไหนที่อยู่ได้นานกว่า...เป็นธุรกิจ...วิชั่น...ไม่ใช่ตามกระแส...ธุรกิจแฟชั่น...จะเห่อแป๊บเดียว...เดี๋ยวก็เลิก...หลายอย่างที่เคยฮิต...ตอนนี้ไปไหนแล้วก็ไม่รู้...ต้องเลือกลงทุนธุรกิจวิชั่น...มันจะยืนยาว...มั่นคง...ประสบความสำเร็จ...ร่ำรวย...



ถ้าเผลอไปลงทุนธุรกิจแฟชั่น...หวือหวาไปตามกระแส...เห่อตามเพื่อน...วูบเดียวหาย...หมายถึง...เงินลงทุน...เดี๋ยวเดียวเกลี้ยง...เจ๊งภายในพริบตา...นี่คือแฟชั่น...วิชั่น...เราต้องมีประสิทธิภาพในการแยกแยะสิ่งเหล่านี้ให้ออก...





Platform ใหม่ของชีวิต...

2. เราต้องเข้าใจตัวเอง...และเปรียบเทียบกับโลกข้างนอกได้...รู้ความต้องการของตัวเอง...และมีแรงบันดาลใจยิ่งใหญ่...มากกว่าคนปกติ...



วันนี้...เป็นยุคที่เราไม่สามารถเปรียบเทียบตัวเราเอง...กับเพื่อนข้างๆ ในออฟฟิศ...เราไม่สามารถเปรียบเทียบตัวเราเองกับเพื่อนข้างๆ ในคณะที่เรียน...ได้อีกแล้ว...เพราะอะไรครับ...? เพราะทันทีที่คุณจบมา...คุณไม่ได้แข่งขัน...กับคนเหล่านี้แล้ว...แต่คุณต้องแข่งกับ...คนทั้งโลกแล้ว...



เดี๋ยวนี้มีการ Outsource มากมาย...จ้างแรงงาน...ช่างเทคนิค...นักการตลาด...และมือบริหารเก่งๆ มาจากต่างประเทศเยอะแยะ...Outsource จากอินเดีย...Outsource จากฟิลิปปินส์...คนพวกนี้...พูดภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เกิด...มีศักยภาพในการสื่อสารมากกว่าเรา...



แสดงว่าคุณจบมหาวิทยาลัยมา...ต่อให้คุณได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง...จบเกรด 3.98...4.00...คุณจบมาปุ๊บ...คุณไม่ได้แข่งกับเพื่อนคุณในรุ่นเดียวกันหรอกครับ...แต่คุณต้องแข่งกับรุ่นพี่...ที่ตกงาน...ที่จบมาตั้งแต่ปีที่แล้ว...แต่ยังหางานทำไม่ได้...หรือรุ่นพี่ที่จบมาเมื่อหลายปีก่อน...แล้วไปเรียนต่ออเมริกากลับมาเรียบร้อยแล้ว...



ต้องแข่งกับคนเก่าในองค์กร...ที่หวังจะเลื่อนมาอยู่ตำแหน่งเดียวกับที่คุณสมัคร...แข่งกับคนเวียดนามที่ขยันมากๆ...แข่งกับคนอินเดีย...คนฟิลิปปินส์ที่พื้นฐานภาษาอังกฤษดีกว่าเรา...เพราะฉะนั้นวันนี้...เราต้องเข้าใจตัวเอง...เปรียบเทียบกับ...โลกข้างนอก...ไม่ใช่เปรียบเทียบแค่...ในห้องเรียน...ในออฟฟิศ...ในคอก...



แค่นั้นมันไม่พอแล้ว...สำหรับการต่อสู้ในยุคนี้...



Platform ใหม่ของชีวิต...

3. ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อม...สำหรับ Trend ที่จะเปลี่ยนแปลง...ทุกคน...แบบฟ้าถล่มดินทลาย...



Trend คือ...สิ่งที่ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับมัน...มันก็จะเป็นไปตามนั้น...ทุกวันนี้เราไปเดินห้าง...จะเห็นแต่...คลินิกลดความอ้วน...ดึงหน้า...เสริมคาง...รักษาสิวเต็มไปหมด...เพราะมันคือยุคของ Wellness...คือ...การปฏิวัติอุตสาหกรรมความงาม...และสุขภาพ...เราจะเห็น California WOW...!!! Fitness First...คน...จะรักษาสุขภาพกันมากขึ้น...



เพราะครอบครัว...มีขนาดเล็กลง...แต่ก่อนพ่อแม่มีลูกนับสิบคน...ครอบครัวใหญ่มาก...กว่าจะส่งลูกเรียนจบ...จนกรอบเป็นข้าวเกรียบ...เผลอๆ ลูกคนเล็กยังเรียนไม่จบเลย...พ่อแม่ตายแล้ว...ปัจจุบัน...ครอบครัวมีขนาดเล็กลงมาก...มีลูกกันแค่คนเดียวสองคน...พอเลี้ยงลูกจบปุ๊บ...ก็มีเวลาดูแลตัวเอง...ดูแลสุขภาพ...ดูแลความงาม...นี่คือยุคของ...Wellness...



เพราะฉะนั้นจะเห็นเลยว่า...ทุกอย่างเป็นไปตามยุค...เป็นไปตาม Trend ทั้งนั้นเลย...กระแสที่เกิดขึ้นทุกวันนี้...เราเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้...

ที่มา....ชี้ช่องรวย.com

วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2558

6 พฤติกรรมคนรุ่นใหม่ C-Generation






6 พฤติกรรมคนรุ่นใหม่ C-Generation ทุกวันนี้เราจะเห็นการตื่นตัวกับ Generation Y หรือ กลุ่มคนที่เกิดในปี พ.ศ. 2523-2540 ซึ่งกำลังกลายมาเป็นกลุ่มตลาดขนาดใหญ่ในปัจจุบันเพื่อออกแบบสินค้าและบริการให้เหมาะสมและดึงดูดคนกลุ่มนี้




The generation Y เป็นผู้ที่เติบโตในยุคที่เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตเจริญรุดหน้า คนกลุ่มนี้จุงชอบงานด้านไอที มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถทำอะไรหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน เป้นคนมองโลกในแง่ดี ไม่ค่อยมีความอดทน


แต่ ณ ขณะนี้สิ่งที่นักการตลาดหลายๆ คนโดยเฉพาะนักการตลาดดิจิทัลเองให้ความสนใจมากกว่าคือกลุ่มที่เรียกว่า Generation C หรือ Generation Connected นั่นเอง






Generation C คืออะไร



การเกิดของ Gen C นั้นจะว่าไปแล้วถือเป็นสิ่งที่ผิดกับรูปแบบ Gen ก่อนๆ ที่เรามักวัดกันด้วยช่วงอายุเป็นสำคัญ แต่ Gen C นั้นจะเป็นการมองด้วยเรื่อง Technology & Infrastructure เป็นสำคัญและนั่นเป็นจุดเปลี่ยนของชุดความคิดแบบเดิมๆ


คน Gen C มีคุณสมบัติน่าสนใจหลายอย่าง เช่น จากการสังเกตเราจะพบว่าคนรุ่น C นี้จะมีไลฟ์สไตล์หรือการดำเนินชีวิตเร่งรีบ รีบทั้งการเดินทาง รีบทั้งเส้นทางสู่ความสำเร็จ พวกเขาจึงไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียวให้กับสิ่งไร้สาระ อย่าง การเสียเวลาบนท้องถนน การนั่งคอยรถติด หรือการทำธุรกรรมที่ต้องผ่านขั้นตอนวุ่นวายเชื่องช้า






คุณสมบัติ 6 ข้อ ของ Gen C



1. Cash Smart – ฉลาดบริหารเงิน


หากสังเกตเราจะพบว่าคนยุคเก่าศรัทธาในการทำงานหนัก อย่างคำพูดของคนจีนที่ว่า “งานหนักสร้างเศรษฐี” แต่สำหรับคนรุ่น Gen C พวกเขารู้สึกว่ามันไม่สมจริงสักเท่าไหร่ “หากงานหนักสร้างเศรษฐี ทาสควรเป็นคนที่มีสินทรัพย์มากที่สุดในโลก” ดังนั้น กลุ่ม Gen C จึงนิยมให้เงินทำงานให้เขาไม่ใช่ให้เขาทำงานให้เงิน


2. Convenience – ชีวิตสะดวกสบาย


คนยุค C ไม่นิยมเสียเวลาและอดทนกับสิ่งที่ตัวเองคิดว่าไม่จำเป็น พวกเขายอมเสียทรัพย์สินแลกกับความสะดวกสบายที่จะช่วยให้เขาออกไปหาตังค์ได้มากขึ้น ดังนั้น พวกเขาจึงไม่อดทนกับเรื่องน่ารำคาญและยอมใช้เงินอย่างชาญฉลาดเพื่อกำจัดแมลงกวนใจเหล่านั้นให้พ้นทาง พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่รู้จักใช้เทคโนโลยี เช่น แอพพลิเคชั่น โซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างความสะดวกสบายให้แก่ตัวเอง


3. Creative – สนใจรายละเอียดและงานออกแบบที่ดูดีมีสไตล์


ต้องยอมรับว่าคน Gen C เกิดในยุคที่สังคมโลกและไทยเริ่มสงบ ไม่มีการศึกสงครามมากนัก ดังนั้น พวกเขาจึงมีเวลาใส่ใจกับเรื่องศิลปะและการออกแบบที่สวยงามและทำให้ชีวิตดูสุนทรีย์มากขึ้น งานพลาสติกหยาบๆ เน้นการใช้งานไม่ได้กินเงินพวกเขาเท่าไหร่


4. Casual – ความสมดุลของการใช้ชีวิตระหว่างงานและเรื่องส่วนตัว


จากการสำรวจของกูรูด้านมาร์เกตติ้งหลายสำนัก พบว่าคนในยุคนี้โดยเฉพาะในฝั่งเอเชียมีแนวโน้มที่จะมีวัฒนธรรมการทำงานแบบ Work Hard และ Play Harder เนื่องจากอย่าลืมว่าเรากำลังอยู่ในยุคที่ axis of the world หรือ แกนของโลกได้ย้ายข้างจากโลกตะวันตกสู่โลกตะวันออก หนุ่มสาวชาวเอเชียทำงานเป็นบ้าเป็นหลังขณะที่พวกเขามีเงินมากมายที่พร้อมจะทุ่มซื้อความสะดวกสบายเพื่อสร้างสมดุลให้กับชีวิตของตัวเอง


5. Control – คน Gen C ชอบจัดการชีวิตของตัวเอง


และเริ่มไม่ปล่อยให้หัวหน้า ครอบครัว หรือแม้แต่พ่อแม่เข้าครอบงำชีวิตตัวเองมากเกินไปนัก พวกเขาอาจรับฟังความเห็นของคนอื่นแต่สุดท้ายแล้วพวกเขาตระหนักว่าการตัดสินใจทุกอย่างของเขา มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่ต้องรับผลกรรม ผิดกับรุ่นพ่อแม่ที่บางคนก็ยอมรับว่าแม้แต่การแต่งงานก็ถูกจัดให้แบบคลุมถุงชน


6. Connect – ชีวิตแบบออนไลน์


การเข้าถึงข่าวสาร การพูดคุยกับเพื่อน ข้อจำกัดเรื่องเวลาและระยะทางกลายเป็นเรื่องที่เล็กลงเรื่อยๆ ในทุกวันนี้








ภาพจาก ideo






Gen C แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม



1. Baby Gen C อายุตั้งแต่ 18 – 24 ปี


ซึ่งก็ได้แก่วัยรุ่น ช่วงมหาวิทยาลัย จนถึงชีวิตเริ่มทำงานใหม่ๆ ต้องยอมรับว่ากลุ่มคนกลุ่มนี้ยังมีกำลังซื้อตามการตัดสินใจต่อผู้ปกครองอยู่ ดังนั้น หากพวกเขาสามารถโน้มน้าวผู้ปกครองได้ การขายสินค้าและบริการให้คนกลุ่มนี้ก็ไม่ยากเลย


2. Bachelor Gen C มีช่วงอายุตั้งแต่ 25 – 34 ปี


เป็นช่วงวัยทำงานระดับพนักงานจนถึงผู้บริหารระดับกลาง การขยายตัวของช่วงอายุคนโสดนี้ทำให้มาร์เกตเตอร์ต้องมาทบทวนกลยุทธ์การขายเสียใหม่ จะเห็นว่าอายุถึง 34 เป็นช่วงเวลาที่คนเหล่านี้ยังไม่แต่งงาน! พวกเขาพร้อมจะซื้อสินค้าและทุ่มเงินให้กับความสะดวกสบายของตัวเองและยังไม่รู้สึกต้องประหยัดมากเท่ากับคนมีครอบครัวแล้ว


3. Marriage Gen C มีช่วงอายุ 35 – 44 ปี


เป็นช่วงที่มีครอบครัวและมองหาความมั่นคง การขายสินค้าและบริการสำหรับคนกลุ่มนี้ต้องมองเขาทั้งครอบครัว influencer ในกลุ่มนี้หลายครั้งจะเปลี่ยนจากพ่อบ้านกลายเป็นแม่บ้าน ขณะที่ของชิ้นใหญ่หรือราคาแพงคุณพ่อบ้านก็จะมีส่วนในการตัดสินใจมากกว่า


นักการตลาดในปัจจุบันควรจะเริ่มหันมาสนใจเรื่อง Gen C ให้มากขึ้น รวมทั้งปรับวิถีชีวิตของตัวเองให้อยู่ในแถวหน้าๆ ของ Gen C เสียแต่เนิ่นๆ เพราะเมื่อไรที่ตลาดพลิกมาสู่ Connected World แล้วนั้น หลายๆ คนอาจจะปรับตัวไม่ทันกันเอาได้










ที่มา :


marketingoops.com


nuttaputch.com


เรียงเรียง :

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ภาวะผู้นำ ตอนที่ 19



...ภาวะผู้นำ ตอนที่ 19...
...ข้อเสียในเรื่องตำแหน่ง...

...ผู้นำระดับ Position หรือตำแหน่งหน้าที่ เป็นภาวะผู้นำระดับต่ำสุด ซึ่งใครหลายคนก็อยากไปถึง แต่เชื่อเถอะ! เราไม่อยากอยู่ตรงนั้นนานนักหรอก...

...ผู้นำระดับ Position หรือตำแหน่งหน้าที่ มีข้อเสียอยู่มากมาย ซึ่งพอจะมองเห็นได้ชัดหลักๆอยู่ 8 ประการ ดังนี้...

...1.ผู้คนมักเข้าใจผิดเวลาได้รับตำแหน่งผู้นำ...

...คนเรามักคิดไปว่าสิ่งดีๆมากมายจะตามมากับตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นอำนาจ ห้องทำงาน เงินเดือน เกียรติยศ ชื่อเสียง ฯลฯ...

...หรือบางคนก็คิดไปว่าพอมีตำแหน่งก็ได้เป็นผู้นำ...

...แต่..มันเป็นความคิดที่ผิดพลาด...

...ตำแหน่งเป็นเพียงโอกาสให้ก้าวไปเป็นผู้นำต่างหาก...

...ผู้นำที่แท้จริงจะต้องทุ่มเทและแสดงฝีมือให้เห็น มันเป็นเรื่องของ"การกระทำ"...

...จำให้ขึ้นใจว่า...

...คุณลักษณะที่สำคัญที่สุดของภาวะผู้นำคือ...

..."ผู้นำต้องนำพาผู้คนของเขาไปที่ไหนสักแห่ง คนเหล่านั้นไม่หยุดนิ่ง หากไม่มีการเดินทางไปไหน ก็ไม่ต้องมีเรื่องภาวะผู้นำ"...

...แนวคิดที่ผิดพลาดที่สุดของผู้นำ คือแนวคิดที่ว่า "ทำสำเร็จแล้ว ผมได้ตำแหน่งแล้ว"...

...เพราะฉะนั้น "ภาวะผู้นำ" จึงเป็นเรื่องของการกระทำ ไม่ใช่เรื่องของตำแหน่ง...

...2.ผู้นำที่พึ่งพาตำแหน่งมักไม่เห็นคุณค่าของคนอื่น...

...คนที่อาศัยตำแหน่งหน้าที่มักให้ความสำคัญกับตำแหน่งของเขาแทบจะตลอดเวลา...

...เขาให้ความสำคัญกับตำแหน่งมากกว่างานที่เขาทำ...

...ทัศนคติแบบนี้ไม่ได้ช่วยส่งเสริมสัมพันธภาพที่ดีกับคนอื่น...

...เขามักมองทีมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างน่ารำคาญ...

...และมองว่าเป็นฟันเฟืองที่เปลี่ยนไปมาได้ในองค์กร...

...หรือแม้แต่มองว่าเป็นอุปสรรคที่สร้างปัญหาในการเลื่อนตำแหน่งของตัวเอง...

...ผลลัพธ์ก็คือ องค์กรที่มีผู้นำแบบนี้ ย่อมมีปัญหาเรื่องขวัญและกำลังใจ...

...ผู้นำที่พึ่งพาตำแหน่งหน้าที่ มักทำตัวเองให้ดูดี...

...กีดกันไม่ให้คนอื่นก้าวขึ้นมา ข่มขู่ ทำให้คนอื่นรู้สึกด้อยค่า...

...โดยมีวิธีการ ดังนี้...

...2.1.ไม่เชื่อมั่นในคนอื่นอย่างแท้จริง...
...2.2.ทึกทักเอาว่าคนอื่นทำไม่ได้ แทนที่จะคิดว่าพวกเขาทำได้...
...2.3.ทึกทักเอาว่าคนอื่นไม่ยอมทำ แทนที่จะคิดว่าพวกเขาจะลงมือทำ...
...2.4.พร้อมที่ี่จะมองเห็นปัญหาของคนอื่น มากกว่าจะเห็นศักยภาพของเขา...
...2.5.มองคนอื่นเป็นหนี้สิน แทนที่จะเห็นเป็นสินทรัพย์...

...ตัวอย่างให้เห็นภาพของจริงในทีมงานของผม...

...ทีมงานทุกท่านครับ ท่านเป็นผู้มีพระคุณของผมครับ...

...ผมมีตำแหน่ง (position) ในผังองค์กรที่อยู่ก่อนพวกท่าน รายได้ของผมจึงมาจากการทำงานของพวกท่าน...

...ท่านจึงเป็นผู้มีพระคุณของผม...

..ผมสามารถตอบแทนบุญคุณทีมงานทุกท่านด้วยการทุ่มเทการทำงานให้องค์กรเจริญเติบโต จนสุดความสามารถของผม...

...ส่วนท่านจะรับเจตนาความหวังดีของผมหรือไม่ ท่านจะมีความรู้สึกอย่างไรต่อผม ท่านจะวิพากษ์ วิจารย์ผมอย่างไร ผมก็น้อมรับด้วยความเคารพ...

...เบื้องต้น ผู้นำต้องมีค่านิยมหลักที่ยึดถือ และปฏิบัติเป็นแบบอย่างจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต...

...ใครจะดี หรือไม่ดีอย่างไร เราไม่ควรและไม่สามารถไปตัดสินใคร เป็นเรื่องของเขา แต่ตัวเราซึ่งเป็นผู้นำต้องยืนหยัดในคุณค่าแท้ของเราให้เขาพิสูจน์ได้...

...โดยตรรกะที่ไม่ผิดเพี้ยนเหล่านี้ ผู้ใต้บังคับบัญชา, ลูกน้อง, ดาวไลน์ ฯลฯ และทีมงานทุกท่านจึงเป็นผู้มีพระคุณต่อผู้บังคับบัญชา หัวหน้า อัพไลน์ ฯลฯ...

...ส่วนถ้าผู้ใต้บังคับบัญชา, ลูกน้อง, ดาวไลน์ ฯลฯ และทีมงานคนไหนมีความรู้สึกว่าผู้บังคับบัญชา หัวหน้า อัพไลน์ ฯลฯ เป็นผู้มีพระคุณต่อเขา ก็เป็นเรื่องส่วนตัวเป็นคน ๆ ไป...

...ผู้นำที่อาศัยตำแหน่งหรือหน้าที่ในการโน้มน้าว (Influence) คนอื่น ค่อนข้างจะทำงานร่วมกับคนอื่นได้ไม่ดีนัก บางคนไม่ชอบผู้คนเลยด้วยซ้ำ...

...พวกเขาเป็นผู้นำคนอื่นโดยละเลยความเป็นมนุษย์ไปหลายๆด้าน...

...ไม่สนใจว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีความหวัง มีความฝัน มีความปรารถนา และมีเป้าหมายของตัวเอง...

...พวกเขาไม่ได้ตระหนักว่า ในฐานะผู้นำ พวกเขาต้องนำวิสัยทัศน์และความปรารถนาของคนในทีมมารวมกันในแบบที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับทุกๆคน...

..พวกเขาไม่สามารถเป็นผู้นำที่ดีได้ เนื่องจากไม่ยอมรับรู้และใส่ใจว่า ภาวะผู้นำไม่ว่าจะรูปแบบไหน ในสถานที่ใด หรือเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม...

..."มันเป็นเรื่องของการทำงานร่วมกับคนอื่น"...

...ติดตามในตอนที่ 20 ค่ะ..

ขอบคุณบทความของ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร

4 สาเหตุที่ทำให้คุณไม่ประสบความสำเร็จสักที


4 สาเหตุที่ทำให้คุณไม่ประสบความสำเร็จสักที

เชื่อว่าทุกท่านเคยผ่านประสบการณ์นี้มาแล้ว คือการตั้งเป้าหมาย มุ่งมั่นทำอะไรสักอย่าง ช่วงแรกๆ อาจดูมุ่งมั่น ตั้งใจเป็นพิเศษ แต่เมื่อทำไปนานๆ ก็เริ่มรู้สึกไม่อยากทำ หมดกำลัง และกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิม… เรามาลองทบทวนสาเหตุกันดูดีกว่าทำไมเราถึงไม่ประสบความสำเร็จสักที ซึ่ง ชี้ช่องรวย ได้นำมาฝากกันค่ะ





1. เป้าหมายไม่ชัดเจน และไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆ

บางคนชอบตั้งเป้าหมายแบบลอยลม ไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า เป้าหมายนั้นเราต้องการมันจริงๆ หรือไม่ เห็นคนอื่นทำ ก็อยากทำบ้าง เห็นคนอื่นเป็น ก็อยากเป็นบ้าง พอลงมือทำได้สักพัก ก็เกิดความเบื่อหน่าย และเป้าหมายก็ล้มเหลว



2. ใจไม่แข็งพอ

การที่เราล้มเลิกเป้าหมายกลางทาง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราขาดจิตใจที่เข้มแข็ง ขาดความมุ่งมั่น ตั้งใจ และขาดศรัทธา พอมีสิ่งอื่นมากระทบกระเทือน ก็หมดความตั้งใจไปในที่สุด



3. รักสบาย

บางคนเสพติดกับการชีวิตแบบสบายๆ ไม่ต้องมานั่งลำบาก บังคับตนเองให้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน สุดท้ายพอรู้สึกไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ก็เริ่มไม่อยากทำ ก็เลยกลับมาเลือกใช้ชีวิตสบายๆ แบบเดิม



4. ขาดสมาธิในการจดจ่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ปัจจุบันคนเป็นเยอะ เนื่องจากเทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ข่าวสาร การติดต่อทุกอย่างมาอยู่ในมือของเราหมด เวลาทำอะไร ก็มักถูกดึงความสนใจได้ง่ายๆ เช่น เวลาลงมือทำอะไรสักอย่าง แต่พอได้ยินเสียงเตือนจากโทรศัพท์ ก็อดไม่ได้ที่จะต้องหยิบขึ้นมาเช็ค เช็คไปเช็คมา ก็หมดเวลาไปหลายนาที หรือเผลอๆ หมดเป็นชั่วโมง




ขอขอบคุณ
ที่มา : prakal.wordpress.com

เรียบเรียง :

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2558

5 วิธีคิดบวกเพื่อความสำเร็จในอนาคต








5 วิธีคิดบวก เพื่อความสำเร็จในอนาคต




การคิดบวกสามารถสร้างพลัง สร้างแรงบันดาลใจ ให้ชีวิตใครหลายๆ คน ที่กำลังอยู่ในสภาวะเครียดที่เกิดจากการทำงาน หรือเรื่องในครอบครัว... นอกจากการคิดบวกจะช่วยทำให้ชีวิตดูมีคุณค่าขึ้นแล้ว ยังจะช่วยให้มองเห็นหนทางเข้าใกล้กับความสำเร็จที่เคยคาดหวังไว้ให้ง่ายมากขึ้นด้วย... แล้วการคิดบวกต้องเริ่มต้นอย่างไร? มาดูกันเลยค่ะ

1. ให้เกียรติตัวเอง

การเริ่มต้นในการคิดบวกคือการให้เกียรติตัวเอง ไม่ควรตอกย้ำตัวเองเมื่อทำเรื่องน่าอับอาย เมื่อเกิดข้อผิดพลาดให้คิดว่านั่นคือประสบการณ์ที่ดี และควรหาทางแก้ไขปัญหา

2. จัดการความเป็นเด็กให้เหมาะสม

เชื่อว่าคนที่ประสบความสำเร็จมีความเป็นเด็กอยู่ในตัวทุกคน แต่เขาจะจัดการกับความเป็นเด็กอย่างถูกต้อง ใช้ความเป็นเด็กในที่ๆ เหมาะสม รู้จักควบคุมอารมณ์ ไม่ทำตามใจตัวเองกับเรื่องที่จริงจัง เปิดใจและใช้เหตุผล

3. ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่นั่น

ถือเป็นคติขั้นพื้นฐาน และผู้ประสบความสำเร็จก็มักยึดคตินี้ไว้เพื่อให้ตัวเองก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ เมื่อไรที่ก้าวพลาด พวกเขาจะไม่มีวันหันหลังกลับไปมอง แต่จะเดินหน้าแก้ไข และเดินต่อไปสู่ความสำเร็จที่รออยู่

4. ล้มเหลวเพียงหนึ่ง ไม่ได้แปลว่าล้มเหลวทั้งชีวิต

ผู้ยิ่งใหญ่ที่โลกจดจำก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง พวกเขาลองผิด ลองถูกมาหลายครั้งกว่าจะประสบความสำเร็จ แต่เคล็ดลับคือเขาสามารถค้นพบสิ่งที่ตัวเองรักและถนัด แล้วลงมือทำเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมาย ดังนั้นหากคุณไม่ถนัดกับสิ่งที่ทำอยู่ จงอย่าย่อท้อ แต่ควรหาสิ่งที่ใช่สำหรับคุณให้ได้

5. พรุ่งนี้ที่ดีกว่า รออยู่ข้างหน้าเสมอ

จงภูมิใจกับความผิดพลาดที่ผ่าน ให้อภัยตัวเอง มองหาต้นเหตุของปัญหา และแก้ไขอย่างมีสติ และมุ่งมั่นทำชีวิตที่ดีขึ้นในวันต่อๆ ไป



ที่มา : http://health.kapook.com/view124176.html

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ภาวะผู้นำ ตอนที่ 18



..ภาวะผู้นำ ตอนที่ 18...


...เพื่อนทุกท่านครับ...


...เรากำหนด "ค่านิยม" ที่เราจะยึดถือจนเป็นตัวตนของเราไว้อย่างไร...

...ผมเชื่อว่า เราควรตั้งหลักความเชื่อของค่านิยมใน 3 เรื่องหลักๆดังนี้...

...1.ค่านิยมด้านจริยธรรม นั่นคือ การทำสิ่งที่ถูกต้องโดยมีเหตุผลที่ถูกต้องมีความหมายว่าอย่างไร...

...2.ค่านิยมด้านความสัมพันธ์ นั่นคือ เราจะสร้างบรรยากาศแห่งความไว้วางใจและความเคารพนับถือร่วมกับผู้อื่นได้อย่างไร...

...3. ค่านิยมด้านความสำเร็จ นั่นคือ เป้าหมายอะไรที่คุ้มค่ากับการดำเนินชีวิต...

...ถ้าเราตอบคำถามเหล่านี้และมุ่งมั่นจะใช้ชีวิตตามค่านิยม 3 ข้อนี้ เท่ากับเรากำลังฝึกฝนความซื่อสัตย์ของตัวเอง...

...ซึ่งจะทำให้เรามีเสน่ห์ต่อทีมงาน และทำให้คนเหล่านั้นอยากเดินตามภาวะผู้นำของเรา...

...ผู้นำที่อ่อนหัดนั้น เขาพยายามใช้ตำแหน่งผลักดันให้ผลการปฏิบัติงานออกมาดี...

...ส่วนผู้นำที่บรรลุนิติภาวะและรู้จักตัวเองนั้น เขารู้ว่าผลการปฏิบัติงานของคนเราไม่ได้อาศัยแรงกระตุ้นจากตำแหน่ง จากอำนาจ หรือว่ากฏเกณฑ์...

...แต่อาศัยแรงสนับสนุนจาก "ค่านิยม"ที่จริงใจ ไม่เสแสร้ง...

...4.3.เราอยากเป็นผู้นำแบบไหน...

...ถ้าอยากเป็นผู้นำที่ดีขึ้น ต้องไม่ใช่แค่รู้จักตัวเองและรู้จักค่านิยมของตัวเอง แต่ต้องใช้ชีวิตตามสิ่งเหล่านั้นด้วย...

...นิสัยและระบบแบบไหนที่เราจะปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ...

...เราจะจัดการตัวเองอย่างไร...

...ทุกวันจะทำอะไรกับการงาน...

...จะฝึกจิตแบบไหนที่จะช่วยให้จิตตัวเองตามทันสิ่งต่างๆ...

...จะปฏิบัติต่อทีมอย่างไร...

...จรรยาบรรณการทำงานของเราคืออะไร จะเป็นแบบอย่างแบบไหน...

...ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา เราป็นคนกำหนด...

... ยิ่งเป็นผู้นำแรก ๆ ยิ่งมีโอกาสเริ่มต้นสร้างอุปนิสัยที่ดีตั้งแต่ตอนนี้...

...การเป็นผู้นำคนอื่นนับเป็นโอกาสสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี...

...ภาวะผู้นำที่ดีจะเปลี่ยนชีวิตได้ ช่วยสร้างทีมงาน สร้างองค์กร ส่งผลต่อชุมชน และมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนโลกได้...

...ผมเชื่อว่า ทุกท่านคงเข้าใจและเห็นด้วยกับผม...

...แต่ผู้นำ Position หรือตำแหน่งหน้าที่ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น...

...แล้วข้อเสียล่ะ ผู้นำ Position หรือตำแหน่งหน้าที่มีข้อเสียมั้ย...

...ติดตามในตอนที่ 19 ค่ะ...

ขอบคุณบทความดีๆของ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร