วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558
ภาวะผู้นำ ตอนที่ 14
..ภาวะผู้นำ ตอนที่ 14...
...เพื่อนทุกท่านครับ วันนี้ "ระดับภาวะผู้นำ"ของเราเองกับทีมงานอยู่ในระดับไหน เรารู้ตัวเองหรือยัง...
...ระดับไหนครับ...1,2,3,4 หรือ 5...
...ศักยภาพของเรามีมากแค่ไหน มีขีดความสามารถและความปรารถนาที่จะเป็นผู้นำระดับที่ 3,4 และ 5 หรือเปล่า...
...มีทางเดียวเท่านั้นที่จะทราบได้ นั่นคือ...
...จงยอมรับความท้าทายของเรื่องภาวะผู้นำ พยายามพัฒนาตนเองให้เต็มที่และศึกษาเรื่องภาวะผู้นำให้ลึกซึ้ง...
...ถ้าคุณเต็มใจรับความท้าทายแล้ว คุณ!จะไม่มีวันเสียใจ...
...พร้อมสำรับการพัฒนาภาวะผู้นำในแต่ละระดับกันแล้วใช่หรือไม่...
...ถ้าพร้อมแล้ว เริ่ม!กันเลยครับ...
..ระดับที่ 1 Position (ตำแหน่ง)...
...เป็นภาวะผู้นำระดับต่ำที่สุด ผู้คนยอมทำตามเพราะความจำเป็น ผู้นำมีสิทธิ์ (Rights) ตามตำแหน่งในการนำ...
...สมัยก่อน ผู้คนต่างพึ่งตำแหน่งอย่างมาก จึงไม่แปลกใจที่ครั้งหนึ่งตำแหน่งผู้นำจะส่งต่อจากพ่อไปสู่ลูกชาย (บ้างก็ลูกสาว)ภายในครอบครัว...
...เจ้าชายกลายมาเป็นกษัตริย์...
...และการตัดสินใจของเขา ไม่ว่าจะดีหรือเลว ก็กลายมาเป็นกฏหมาย...
...ตำแหน่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย...
...เรามาดูเรื่องดีๆของภาวะผู้นำในระดับของ Position กันก่อนนะครับ...
...1.การมอบตำแหน่งผู้นำให้ใคร ก็เพราะผู้นั้นมีศักยภาพในการเป็นผู้นำ...
...ในองค์กรทั่ว ๆ ไป ผู้มีอำนาจเชื่อมั่นว่าผู้นำคนใหม่คนนี้มีศักยภาพเป็นผู้นำระดับหนึ่ง เขาจึงมอบตำแหน่งผู้นำให้...
...ในเครือข่าย หรือในเพนดูรา เมื่อท่านสมัครเป็นสมาชิกแล้ว ทุกท่านก็จะมีตำแหน่ง (position)ในผังองค์กร...
...นั่นแปลว่าคุณมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นและตัดสินใจในตำแหน่งหน้าที่...
...ฉะนั้นเป้าหมายแรกของคุณควรแสดงให้หัวหน้าและทีมงานเห็นว่า คุณเหมาะสมแล้วกับตำแหน่งหน้าที่ที่ได้รับ...
...ผู้นำที่เก่งมาก ๆ จะเลื่อนคนไปสู่ตำแหน่งผู้นำโดยดูจากศักยภาพความเป็นผู้นำ...
...ไม่ใช่เพราะเรื่องการเมือง ความอาวุโส ชื่อเสียงในอดีต หรือความสะดวกสบาย...
...ไม่ต้องบอกว่าคุณจะลงมือทำอะไร จงแสดงให้เห็นออกมาเลยว่าคุณจะทำอะไรบ้าง...
...2.ตำแหน่งผู้นำย่อมหมายถึงการมีอำนาจ...
...สิ่งที่มาพร้อมตำแหน่งคืออำนาจเพียงเล็กน้อยในตอนแรก...
...เรามีโอกาสใช้อำนาจที่ได้มาอย่างชาญฉลาดเพื่อพาทีมไปข้างหน้า และช่วยเหลือลูกทีม...
...เมื่อเราทำแบบนี้ผู้คนก็จะเริ่มให้อำนาจเราเพิ่มขึ้น ภาวะผู้นำก็จะเพิ่มขึ้นด้วย...
...พึงจำไว้ว่า..."ไม่มีใครได้เป็นผู้นำ จนกว่าคนของเขาจะยอมรับตำแหน่งของผู้นำคนนั้นไว้ในความคิดและจิตใจ...
...3.ตำแหน่งผู้นำ ทำให้คุณต้องพัฒนาตนเอง...
...สิ่งหนึ่งที่น่าจะเกี่ยวข้องเสมอกับการได้ตำแหน่งผู้นำ นั่นคือ การต้องทำสิ่งต่าง ๆ ในตำแหน่งดังกล่าว...
...ใครก็ตามที่ได้อะไรไปมาก ย่อมมีเรื่องต้องทำมากเช่นกัน...
...เราทุกคนได้รับอะไรมากมายในชีวิต และมีหน้าที่ต้องเรียนรู้และพัฒนาตนเองเพื่อการส่งต่อรุ่นต่อไป...
...การเดินทางเรื่องภาวะผู้นำ 5 ระดับจะสำเร็จลงได้ ก็ต่อเมื่อเราอุทิศตัวเองและพยายามพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง...
...หากคุณเชื่อว่าตำแหน่ง หรือ Position จะช่วยสร้างผู้นำ ต่อไปคุณจะต้องมีปัญหาในการเป็นผู้นำที่ดีแน่นอน...
...นั่นคือคุณจะอยากหยุดนิ่ง "อยากหยุดอยู่กับที่" และพอใจผลประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากตำแหน่ง...
...แทนที่จะขวนขวายพยายามเติบโตขึ้นเพื่อเป็นผู้นำที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้...
...คำถาม...
...ถ้าพอจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้สักอย่างกับองค์กร ทุกท่านครับ ท่านคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรเพื่อให้องค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น...
...ช่วยกันตอบมานะครับ...
...ติดตามในตอนที่ 15 ค่ะ...
ขอบคุณบทความของ...
นพ.ไมตรี พิชญังกูร
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558
ภาวะผู้นำ ตอนที่ 13
...ภาวะผู้นำ ตอนที่ 13...
...8.การไม่ยอมไต่ระดับขึ้นไป จะจำกัดตัวคุณและคนของคุณไว้...
...ความสามารถในการเป็นผู้นำ เป็นสิ่งตัดสินประสิทธิ์ภาพของบุคคลนั้น...
...ประสิทธิภาพการทำงานให้สำเร็จ และความสามารถของเราในการทำงานร่วมกับผู้อื่น จะถูกกำหนดจากภาวะผู้นำของตัวเราเอง...
...ภาระอย่างหนึ่งในเรื่องภาวะผู้นำคือ เราต้องก้าวเดินไปพร้อมกับผู้คนที่เราดูแลอยู่ เมื่อไหร่ที่เราก้าวไปถึงศักยภาพสูงสุดของตัวเอง มันจะกระตุ้นให้คนเหล่านั้นอยากทำตาม...
...แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ผู้นำเลิกไต่ระดับภาวะผู้นำ ก็จะเกิดคำถามขึ้น 2 ข้อ นั่นคือ...
...นั่นคือ "คนเหล่านั้นจะพัฒนาขึ้นอีกได้ไหม?" กับ"คนเหล่านั้นจะยอมพัฒนาหรือเปล่า?" บางคนอาจพัฒนาให้ดีขึ้นไม่ได้แล้ว เพราะมาถึงขีดความสามารถสูงสุดของตัวเอง ในขณะที่กลุ่มที่เหลือจะไม่ยอมพัฒนาตัวเอง...
...ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องขีดความสามารถ แต่ อยู่ที่การตัดสินใจและเรื่องทัศนคติ...
...ถ้าผู้คนเต็มใจเลือกที่จะพัฒนาตัวเอง พร้อมทั้งยอมเปลี่ยนทัศนคติ ก็ไม่มีอะไรมาขวางความสำเร็จไว้ได้...
...ถ้าเลือกที่จะไม่พัฒนาตัวเอง ก็ควรทำความคุ้นเคยกับจุดที่คุณอยู่ในปัจจุบันไว้ให้ดี เพราะสถาณการณ์มันคงไม่กระเตื้องขึ้นไปกว่านี้แน่นอน...
....9.เมื่อต้องเปลี่ยนตำแหน่งหรือเปลี่ยนองค์กร คุณมักไม่ค่อยได้อยู่ในระดับเดิม...
...จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อต้องเปลี่ยนงาน หรือต้องเริ่มต้นนำผู้คนกลุ่มใหม่...
...ทุกครั้งที่ต้องนำผู้คนที่แตกต่างไป เราต้องเริ่มกระบวนการใหม่ทั้งหมด...
...เช่น สมมุติว่า เราเคยเป็นข้าราชการระดับสูง เคยเป็นผู้บริหารระดับสูงในบริษัทเอกชน เมื่อมาทำเครือข่าย เราก็ต้องเริ่มต้นจากตำแหน่ง (position) อยู่ดี เราต้องเริ่มกระบวนการใหม่ทั้งหมด...
...เราไม่สามารถไปยึดตำแหน่งในองค์กรเดิมมานำในองค์กรใหม่...
...ผมไม่สามารถนำเอาตำแหน่งในอาชีพแพทย์มาเป็นผู้นำในเครือข่ายได้...
...ผมไม่สามารถใช้วิชาผ่าตัด วิชาคลอดลูกในอาชีพแพทย์มาโน้มน้าว(Influence)ทีมงานให้พัฒนาเปลี่ยนแปลงและนำเขาได้...
...ต่อให้ท่านเป็นข้าราชการระดับสูง หรือเป็นผู้บริหารระดับสูงแค่ไหนในบริษัทเอกชน ท่านก็ไม่สามารถเอาตำแหน่งในองค์กรเดิมมาโน้มน้าว(Influence)ทีมงานและนำเขาได้...
...ทุกครั้งที่ต้องนำผู้คนที่แตกต่างไป เราต้องเริ่มกระบวนการใหม่ทั้งหมด...
...ผู้นำที่ยึดติดกับตำแหน่งมักไม่ยอมเริ่มต้นพัฒนาภาวะผู้นำขึ้นมาใหม่เพราะคนแบบนี้มองว่า ภาวะผู้นำเหมือนเส้นชัย เมื่อไปถึงแล้วก็สิ้นสุดกัน...
...ไม่มองเลยว่าภาวะผู้นำคือกระบวนการที่ต้องทำอยู่อย่างต่อเนื่อง...
...ผู้นำลักษณะนี้อยากเก็บสิ่งที่ตัวเองมีไว้ หวังว่าเมื่อทำตามที่ต้องการแล้วก็จบกัน...
...แต่ทว่าผู้นำที่ดีจะเต็มใจพยายามใหม่อีกครั้ง เพราะรู้ดีว่าบนเส้นทางของภาวะผู้นำนั้น มักจะทำให้เขาต้องเริ่มต้นไต่เต้าจากระดับล่างที่สุดขึ้นมาใหม่แทบจะทุกครั้งไป...
...10.คุณไม่สามารถไต่ระดับขึ้นไปได้เพียงลำพัง..."ถ้าคิดว่าตัวเองเดินนำผู้อื่น แต่กลับไม่มีใครเดินตาม แสดงว่าคุณแค่เดินเล่นเท่านั้นเอง"...การจะเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จ คุณต้องช่วยให้คนอื่นตามคุณขึ้นมาในระดับต่างๆ ...
...ถ้าผู้คนไม่ตามคุณขึ้นมาก็เท่ากับว่าคุณไม่ได้ไต่ขึ้นมาจากระดับที่ 1 ไปสู่ระดับที่ 2 และ 3...
...แต่ถ้าคนตามคุณมาในระดับต่างๆไม่ได้กลายมาเป็นระดับผู้นำ ก็แปลว่าคุณยังไม่ได้ขึ้นมาในระดับที่ 4...
...และถ้าคนที่คุณกำลังพัฒนาไม่ได้อยู่ในระดับที่ 4 คุณก็ยังมาไม่ถึงระดับที่ 5...
...กระบวนการทั้งหลายเหล่านี้ล้วนต้อองอาศัยผู้อื่นและให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือพวกเขา...
...ซี ดับบลิว เพอรี่ หัวหน้านิกายเควกเกอร์กล่าวไว้ว่า"ภาวะผู้นำคือการยอมรับคนอื่นในแบบที่เขาเป็น แล้วพาพวกเขาก้าวเดินไปที่ไหนสักแห่ง" นี่ล่ะคือหัวใจสำคัญของเรื่องผู้นำ 5 ระดับ...
...ติดตามในตอนที่ 14 ค่ะ...
ขอบคุณบทความดีๆจาก..
นพ.ไมตรี พิชญังกูร
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558
ภาวะผู้นำ ตอนที่ 12
.
..ภาวะผู้นำ ตอนที่ 12...
...5.การไต่ระดับนั้นค่อยเป็นค่อยไป แต่การร่วงลงมา อาจเกิดขึ้นชั่วพริบตา...
...ถ้าถามว่า ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะได้เป็นผู้นำระดับที่ 5...
...ตอบได้เลยว่า มันนานกว่าที่คุณคิดไว้เยอะครับ...
..."การสร้าง" ใช้เวลายาวนานกว่า "การทำลาย" มากนัก...
...หลายอย่างต้องเข้าที่เข้าทางจริงๆจึงจะปีนสู่ระดับที่สูงขึ้นได้ แต่บางครั้งแค่มีอย่างเดียวที่ผิดพลาดไปหน่อยก็ทำให้เราร่วงหล่นลงมาได้แล้ว...
...ตัวอย่างเช่น เราสร้างความสัมพันธ์ที่ดีมากๆกับใครสักคนนั้นใช้เวลานานแค่ไหน แต่ถ้าเราทำอะไรบางอย่างที่ทำให้บุคคลนั้นหมดความไว้วางใจ ความสัมพันธ์ย่อมแตกสลายในชั่วพริบตา...
...6.ยิ่งขึ้นสูงผลตอบแทนยิ่งมาก...
...เราอาจต้องทุมเทมากกว่าเดิมเพื่อไต่ระดับภาวะผู้นำ ในฐานะผู้นำ ผลตอบแทนจากการทุ่มเทของเราก็จะเพิ่มขึ้นในแต่ละระดับด้วย...
...ยิ่งองค์กรมีผู้นำที่เก่งมากขึ้นเท่าไร ทุกคนในองค์กรยิ่งเก่งขึ้น เมื่อไหร่ที่ประสิทธิภาพสูงขึ้น ความสัมพันธ์ดีขึ้น ขวัญและกำลังใจดีขึ้น กระแสในทางบวกดีขึ้น ผลตอบแทนก็ย่อมสููงขึ้น...
...7.ยิ่งก้าวไปไกลเท่าไร ยิ่งต้องพัฒนาให้มากขึ้นตลอดเวลา...
...เวลาผู้นำก้าวไปสู่ภาวะผู้นำที่สูงขึ้น ก็จำเป็นต้องมีทักษะหรือความสามารถเพิ่มขึ้นตามไปด้วย...
...ด้วยเหตุนี้ แต่ละก้าวจึงทำให้ต้องพัฒนาตัวเองเพิ่มขึ้นตามไปด้วย...
...การเติบโตขึ้นเป็นผู้นำต้องอาศัยการพัฒนาตัวเองอย่างตั้งใจจริง บวกกับประสบการณ์ในเรื่องภาวะผู้นำ...
...ถ้าหวังพึ่งประสบการณ์อย่างเดียว ไม่ยอมตั้งใจหาความรู้และเตรียมตัวให้พร้อมในระดับต่อไป ก็ไม่มีทางเป็นผู้นำที่ดีขึ้นได้...
...ในทางกลับกัน ถ้าเตรียมแต่หาความรู้ แต่ไม่ยอมลองเสี่ยงและลองผิดลองถูกเพื่อหาประสบการณ์ก็ไม่ก้าวหน้าไปไหนเหมือนกัน...
...ต้องอาศัยทั้งสองอย่าง บวกกับพรสวรรค์อีกพอสมควร...
...เราควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ว่าตัวเองจะมีพรสวรรค์มากน้อยแค่ไหน เราควบคุมได้แต่จะเอาพรสวรรค์นั้นไปใช้ทำอะไรบ้าง...
...เช่น ถ้าเรามีพรสวรรค์ด้านการเป็นผู้นำ เราอาจมีความปรารถนาแรงกล้าอยากพัฒนาตนเอง อยากเห็นสิ่งต่างๆเกิดขึ้น ถ้าเป็นแบบนี้ก็ลุยไปเลย...
...แต่ถ้าเรามีความสามารถไม่ถึงขนาดนั้น ก็อย่าเพิ่งสิ้นหวัง หาทางชดเชยได้ด้วยการตั้งใจเรียนรู้เรื่องภาวะผู้นำ...
...แต่ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์หรือไม่ จงจำไว้ว่าความสำเร็จไม่ว่าระดับไหน ย่อมช่วยให้คุณประสบความสำเร็จได้ในทุกระดับ...
...ฉะนั้นจงพยายามหาความเชี่ยวชาญในระดับที่เราอยู่ในปัจจุบัน
มันจะช่วยให้เราพร้อมสำหรับสิ่งที่จะเข้ามาในอนาคต...
...ติดตามในตอนที่ 13 ค่ะ...
ขอบคุณบทความดีๆ จาก...
นพ.ไมตรี พิชญังกูร
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2558
การดูแลผิวตามวัย
วิธีการดูแลผิวให้เหมาะสมตามวัย
...ผิวพรรณถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อจิตใจของทั้งเจ้าของผิวเอง และกับผู้ที่พบเห็น โดยเฉพาะที่ใบหน้า ท่านที่มีผิวหน้าสวยย่อมเป็นที่ชื่นชอบของบุคคลรอบข้าง ดังนั้น การดูแลรักษาผิวหน้าจึงนับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ อันจะนำไปสู่การมีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดีค่ะ
ขอเริ่มจาก..."ผิวสวยในวัยทารก" วัยนี้ผิวอ่อนบาง ต้องระวังเรื่องการระคายเคือง ที่น่าเป็นห่วงคือพ่อแม่มักจะชอบใช้ของที่แรงเกินไปสำหรับผิวเด็ก เช่น กลัวว่าจะไม่สะอาด จึงใช้วิธีฟอกสบู่ยาบ้าง เช็ดด้วยแอลกอฮอล์บ้าง ทุกครั้งที่ลูกทำเลอะเทอะจะต้องฟอกสบู่ ล้างแล้วล้างอีกจนเกินความจำเป็น และก่อให้เกิดการระคายผิว ในปัจจุบันมีเครื่องสำอางสำหรับเด็กโดยเฉพาะออกมามากมาย ได้แก่ สบู่เด็ก ซึ่งจะมีสารที่ระคายผิวเด็กน้อยมาก จึงแนะนำให้ใช้ เพราะสบู่ชนิดก้อนมีไขมันผสมอยู่ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแห้งเกินไป แต่ในระยะหลังนี้มีสบู่เหลวออกมาเต็มท้องตลาด ซึ่งไม่แนะนำให้ทารกใช้ เนื่องจากมีส่วนผสมของดีเทอร์เจนด์ซึ่งไม่มีไขมัน และสามารถล้างน้ำมันออกได้มาก เมื่อใช้ไปนานๆ เด็กจะผิวแห้งเป็นขุย เป็นจุดด่างๆ ดวงๆ เกิดอาการคัน จึงไม่ควรใช้เพราะมีฤทธิ์ระคายเคืองผิวค่ะ สำหรับเสื้อผ้าเด็กควรใช้ผ้าที่อ่อนนุ่มบางและเบา ไม่ใช่อยากให้ลูกสวยจนลืมคำนึงถึงความสบาย ห่อหุ้มร่างกายลูกเต็มที่ ทั้ง ๆ ที่บ้านเราอากาศร้อน พวกผ้าอ้อมสำเร็จรูปก็เข้ามามีบทบาทมาก การใช้ต้องระวัง ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะจะอบผิว เกิดการระคายผิว และเกิดเชื้อราหรือแบคทีเรียได้ง่าย ดังนั้นจึงควรใช้เท่าที่จำเป็น เช่น เวลาออกนอกบ้าน นอกจากนี้ยาทาประเภทน้ำมันหม่อง น้ำมันนวดกล้ามเนื้อไม่ควรใช้กับทารก เพราะจะทำให้เกิดผิวไหม้ได้ค่ะ หากมีความจำเป็นต้องใช้ครีม ควรจะใช้ครีมอ่อน ๆ อย่าใช้ร่วมกับของผู้ใหญ่เพราะสภาพผิวจะแตกต่างกันอาจทำให้เกิดผลแทรกซ้อนได้ ส่วนพวกเบบี้ออยล์ และเบบี้ครีมนั้น ควรใช้เฉพาะเมื่ออากาศหนาวเย็น แต่ถ้าช่วงอากาศร้อน การใช้ครีมหรือออยล์อาจจะไปอุดรูขุมขน และต่อมเหงื่อจนผิวหนังอยู่ในสภาพหายใจไม่ออก เป็นเหตุให้เกิดผด ผื่นคันขึ้นได้ค่ะ เบบี้โลชั่นบางชนิดมีวัตถุประสงค์พิเศษซึ่งไม่แนะนำให้ใช้เป็นประจำ เพราะผสมพวกยาฆ่าเชื้อ (antiseptic) ในต่างประเทศผลิตขึ้นมาใช้สำหรับเช็ดก้นเด็ก เพื่อฆ่าเชื้อเนื่องจากอากาศหนาวเพราะไม่สะดวกในการใช้น้ำล้าง แต่ในเมืองไทยใช้น้ำสะอาดล้างก็พอแล้วค่ะ...
"การดูแลผิวของวัยกลางคน” มีอายุระหว่าง 25 ปี ถึง 50 ปี วัยนี้เป็นช่วงที่มีจำนวนคนมากที่สุด ซึ่งอยู่ในวัยทำงานต้องออกสังคมบ่อย เริ่มแต่งหน้ามากขึ้น เริ่มมีริ้วรอย นำมาซึ่ง...ความกลัวแก่...จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อชะลอความแก่ ด้วยเหตุนี้จึงพบว่าเป็นวัยที่มีปัญหาผิวหน้ามากที่สุด ท่านที่ไม่เคยมีฝ้า ก็เริ่มมีฝ้าซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ ตามพันธุกรรม ตามอายุที่มากขึ้น นอกจากนี้ผิวที่ถูกแสงแดดมานาน จะทำให้ผิวเสีย และแก่เร็วค่ะ อย่างไรก็ตามการใช้เครื่องสำอางอาจช่วยให้ดูดีได้ แต่ก็แค่ชั่วคราวนะคะ เพราะการที่คนหนึ่งใช้เครื่องสำอางยี่ห้อนี้แล้วผิวดี ก็ไม่ใช่ว่าอีกคนใช้แล้วผิวจะดีเหมือนกัน เพราะสภาพผิวของแต่ละบุคคลแตกต่างกันค่ะ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีผิวพรรณแตกต่างกันมีอยู่ 5 ประการ คือ พันธุกรรม, อาหาร, อาชีพ, สุขภาพอนามัย และสุขภาพจิต จะเห็นได้ว่า ไม่มีเครื่องสำอางรวมอยู่ด้วยเลย ดังนั้นพันธุกรรมเป็นตัวกำหนดสภาพผิวหนังของแต่ละคนว่าจะเป็นอย่างไร ยิ่งถ้าประกอบอาชีพในที่ร่มไม่ต้องถูกแสงแดดมากเกินไป รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน ออกกำลังกายสม่ำเสมอสุขภาพแข็งแรงดี ไม่มีความวิตกกังวล หรือเคร่งเครียดมากนัก ก็มั่นใจได้ว่าผิวพรรณของท่านจะสวยอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ...
“การดูแลผิวในวัยชรา” ...วัยชราเป็นวัยที่ผิวร่วงโรยไปตามวันเวลา จะพบว่าผิวบริเวณใบหน้าเริ่มแห้งเหี่ยว มีริ้วรอยเกิดขึ้น เนื่องจากคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวหนังลดน้อยลง และไม่มีการสร้างขึ้นมาทดแทนคุณสมบัติของผิวในการอุ้มน้ำลดลง ผิวบางลง ต่อมน้ำมันบริเวณใบหน้าก็จะทำงานลดลงด้วย นอกจากนี้ยังพบว่าบริเวณผิวหน้าจะมี กระ เกิดขึ้นด้วยค่ะ สำหรับการดูแลผิวในวัยนี้ ต้องเข้าใจก่อนว่าผิวมีสภาพที่เปราะบาง ไม่ควรทำความสะอาดผิวหน้าบ่อยจนเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้ผิวแห้ง เกิดการระคายเคืองได้ง่ายค่ะ และภายหลังจากการทำความสะอาดใบหน้าแล้ว ควรใช้ครีมบำรุงผิวหน้า เพื่อช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น และที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดเป็นเวลานาน ๆ เพราะอาจทำให้ผิวไหม้ได้นะคะ อย่างไรก็ตามการออกกำลังกาย และพักผ่อนอย่างเพียงพอ รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ และใช้เครื่องสำอางให้น้อยที่สุด ย่อมดีที่สุดค่ะ เพราะปัญหาผิวหน้าที่เกิดขึ้นมากมาย มักจะเกิดกับผู้ที่ใช้เครื่องสำอางมากเกินไปค่ะ และอย่าลืมหลีกเลี่ยงการทดลองใช้เครื่องสำอางบนใบหน้า นะคะ เพราะใบหน้าของเราไม่ใช่ที่จะทดลองคุณภาพของสารเคมีต่าง ๆ ค่ะ ...ไม่มียาหรือผลิตภัณฑ์ใดในโลก...ที่จะสามารถทำให้คนเราคงความหนุ่ม-สาวได้ตลอดกาล แต่ถ้ารู้วิธีการดูแลผิวอย่างถูกต้องแล้ว ทุกท่านก็สามารถมีผิวที่สวยตามวัยได้ค่ะ...
"การดูแลผิวของวัยกลางคน” มีอายุระหว่าง 25 ปี ถึง 50 ปี วัยนี้เป็นช่วงที่มีจำนวนคนมากที่สุด ซึ่งอยู่ในวัยทำงานต้องออกสังคมบ่อย เริ่มแต่งหน้ามากขึ้น เริ่มมีริ้วรอย นำมาซึ่ง...ความกลัวแก่...จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อชะลอความแก่ ด้วยเหตุนี้จึงพบว่าเป็นวัยที่มีปัญหาผิวหน้ามากที่สุด ท่านที่ไม่เคยมีฝ้า ก็เริ่มมีฝ้าซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ ตามพันธุกรรม ตามอายุที่มากขึ้น นอกจากนี้ผิวที่ถูกแสงแดดมานาน จะทำให้ผิวเสีย และแก่เร็วค่ะ อย่างไรก็ตามการใช้เครื่องสำอางอาจช่วยให้ดูดีได้ แต่ก็แค่ชั่วคราวนะคะ เพราะการที่คนหนึ่งใช้เครื่องสำอางยี่ห้อนี้แล้วผิวดี ก็ไม่ใช่ว่าอีกคนใช้แล้วผิวจะดีเหมือนกัน เพราะสภาพผิวของแต่ละบุคคลแตกต่างกันค่ะ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีผิวพรรณแตกต่างกันมีอยู่ 5 ประการ คือ พันธุกรรม, อาหาร, อาชีพ, สุขภาพอนามัย และสุขภาพจิต จะเห็นได้ว่า ไม่มีเครื่องสำอางรวมอยู่ด้วยเลย ดังนั้นพันธุกรรมเป็นตัวกำหนดสภาพผิวหนังของแต่ละคนว่าจะเป็นอย่างไร ยิ่งถ้าประกอบอาชีพในที่ร่มไม่ต้องถูกแสงแดดมากเกินไป รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน ออกกำลังกายสม่ำเสมอสุขภาพแข็งแรงดี ไม่มีความวิตกกังวล หรือเคร่งเครียดมากนัก ก็มั่นใจได้ว่าผิวพรรณของท่านจะสวยอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ...
“การดูแลผิวในวัยชรา” ...วัยชราเป็นวัยที่ผิวร่วงโรยไปตามวันเวลา จะพบว่าผิวบริเวณใบหน้าเริ่มแห้งเหี่ยว มีริ้วรอยเกิดขึ้น เนื่องจากคอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวหนังลดน้อยลง และไม่มีการสร้างขึ้นมาทดแทนคุณสมบัติของผิวในการอุ้มน้ำลดลง ผิวบางลง ต่อมน้ำมันบริเวณใบหน้าก็จะทำงานลดลงด้วย นอกจากนี้ยังพบว่าบริเวณผิวหน้าจะมี กระ เกิดขึ้นด้วยค่ะ สำหรับการดูแลผิวในวัยนี้ ต้องเข้าใจก่อนว่าผิวมีสภาพที่เปราะบาง ไม่ควรทำความสะอาดผิวหน้าบ่อยจนเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้ผิวแห้ง เกิดการระคายเคืองได้ง่ายค่ะ และภายหลังจากการทำความสะอาดใบหน้าแล้ว ควรใช้ครีมบำรุงผิวหน้า เพื่อช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น และที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดเป็นเวลานาน ๆ เพราะอาจทำให้ผิวไหม้ได้นะคะ อย่างไรก็ตามการออกกำลังกาย และพักผ่อนอย่างเพียงพอ รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ และใช้เครื่องสำอางให้น้อยที่สุด ย่อมดีที่สุดค่ะ เพราะปัญหาผิวหน้าที่เกิดขึ้นมากมาย มักจะเกิดกับผู้ที่ใช้เครื่องสำอางมากเกินไปค่ะ และอย่าลืมหลีกเลี่ยงการทดลองใช้เครื่องสำอางบนใบหน้า นะคะ เพราะใบหน้าของเราไม่ใช่ที่จะทดลองคุณภาพของสารเคมีต่าง ๆ ค่ะ ...ไม่มียาหรือผลิตภัณฑ์ใดในโลก...ที่จะสามารถทำให้คนเราคงความหนุ่ม-สาวได้ตลอดกาล แต่ถ้ารู้วิธีการดูแลผิวอย่างถูกต้องแล้ว ทุกท่านก็สามารถมีผิวที่สวยตามวัยได้ค่ะ...
การพิจารณา ค่า SPF และ ค่า PA ก่อนเลือกซื้อครีมกันแดด
การพิจารณา ค่า SPF และ ค่า PA ก่อนเลือกซื้อครีมกันแดด
สวัสดีค่ะ...หลายท่านคงคุ้นเคยกับสัญลักษณ์แสดงค่า SPF และ PA บนผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสารกันแดดนะคะ...
ตัวอย่าง ค่า SPF และ % การปกป้องรังสี UVB
• ค่า SPF เท่ากับ 30 จะดูดซับ UVB ได้ 96.7%
• ค่า SPF เท่ากับ 45 จะดูดซับ UVB ได้ 97.8%
• ค่า SPF เท่ากับ 50 จะดูดซับ UVB ได้ 98%
สำหรับค่า PA (Protection Grade of UVA ) คือ ค่าแสดงประสิทธิภาพของครีมกันแดดในการป้องกันรังสี UVA ค่ะ โดยค่า PA นั้นจะมี 3 ระดับคือ
PA+ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA
PA++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA สูง
PA+++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA สูงสุด
จากข้อมูลที่กล่าวมา หลายท่านสามารถนำไปพิจารณาเพื่อเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ให้ประสิทธิภาพกันแดดนะคะ.
สวัสดีค่ะ...หลายท่านคงคุ้นเคยกับสัญลักษณ์แสดงค่า SPF และ PA บนผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสารกันแดดนะคะ...
ค่า SPF (Sun Protective Factor) คือ ค่าแสดงจำนวนเท่าของเวลาที่ผิวสามารถทนต่อรังสียูวีได้หลังจากทาครีมกันแดดแล้ว ซึ่งโดยปกติผิวของเราจะรับมือกับแสงแดดโดยปราศจากครีมกันแดดได้ประมาณ 20-30 นาที ถ้าครีมกันแดด หรือผลิตภัณฑ์นั้นระบุไว้ว่า SPF50 แสดงว่าเมื่อทาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้ว ผิวจะสามารถอยู่กลางแดดได้ประมาณ 50×30 = 1500 นาที หรือ 25 ชั่วโมง โดยที่ผิวไม่เกิดรอยไหม้แดง อย่างไรก็ตามค่าดังกล่าวอาจคลาดเคลื่อนได้ ทั้งนี้เนื่องจากครีมกันแดดที่ทาบนผิวอาจลบเลือนไปเมื่อเหงื่อออก หรือโดนน้ำ หรือทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันค่ะ
ตัวอย่าง ค่า SPF และ % การปกป้องรังสี UVB
• ค่า SPF เท่ากับ 30 จะดูดซับ UVB ได้ 96.7%
• ค่า SPF เท่ากับ 45 จะดูดซับ UVB ได้ 97.8%
• ค่า SPF เท่ากับ 50 จะดูดซับ UVB ได้ 98%
สำหรับค่า PA (Protection Grade of UVA ) คือ ค่าแสดงประสิทธิภาพของครีมกันแดดในการป้องกันรังสี UVA ค่ะ โดยค่า PA นั้นจะมี 3 ระดับคือ
PA+ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA
PA++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA สูง
PA+++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA สูงสุด
จากข้อมูลที่กล่าวมา หลายท่านสามารถนำไปพิจารณาเพื่อเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ให้ประสิทธิภาพกันแดดนะคะ.
วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558
เส้นทางสู่ความสำเร็จกับธุรกิจเพนดูรา
เส้นทางสู่ความสำเร็จกับธุรกิจเพนดูรา
ปรัชญาธุรกิจของเพนดูรา
เพียงเริ่มสัมผัสประสบการณ์จากผลลัพธ์อันน่ามหัศจรรย์ของผลิตภัณฑ์เพนดูราฯ นั่นหมายถึงประตูแห่งความสำเร็จเปิดต้อนรับคุณแล้วเพราะผลลัพธ์ที่เกิดกับตัวคุณเองคือหลักประกันชั้นเยี่ยมที่คุณไม่อาจปฏิเสธ เป็นยิ่งกว่าคำโฆษณา เป็นยิ่งกว่าใบประกาศสรรพคุณใดๆ และเป็นใบเบิกทางสู่ความสำเร็จ เพราะเมื่อคุณสัมผัสผลลัพธ์ที่ชัดเจนอันน่ามหัศจรรย์ภายในเวลาอันสั้นๆ แล้ว ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดคำถามกับคนรอบตัวที่ตกตะลึงในความเปลี่ยนแปลงในทางบวกของคุณ ..นี่คือที่มาของการก้าวสู่ความสำเร็จทางธุรกิจของ เพนดูรา ไลฟ์ วิชั่นส์ โดยที่คุณอาจยังไม่ทันคาดคิดว่าจะทำธุรกิจหรือแม้แต่คุณพยายามที่จะปฏิเสธ แต่ผลลัพธ์สุดอัศจรรย์ได้นำคุณเดิทางสู่จุดแห่งความสำเร็จแล้ว และเมื่อคุณก้าวมาเป็นครอบครัวเดียวกับเรา จะมีเพียงคุณเท่านั้นที่ได้สิทธิ์ในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชิ้นเยี่ยมนี้ นั่นย่อมหมายถึงที่มาของรายได้ที่เพิ่มพูนและเพิ่มเป็นทวีเมื่อผลลัพธ์นี้ปรากฏกับผู้บริโภคของคุณคนแล้วคนเล่า
ที่เพนดูรา ไลฟ์ วิชั่นส์ เราระลึกเสมอว่า…หุ้นส่วนทางธุรกิจของเรา เปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของครอบครัวที่เราต้องรักษาความไว้วางใจที่ได้รับมอบจากหุ้นส่วนธุรกิจทุกท่านไว้อย่างดีที่สุด นี่คือพันธะสัญญาที่เรามีต่อกันในการที่จะก้าวเดินร่วมกัน เพื่อสร้างบรรทัดฐานของความสำเร็จอย่างมั่นคง ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งความสำเร็จที่มีคุณค่าอย่างยั่งยืนนี้ย่อมจะต้องมีพื้นฐานมาจากปัจจัยของการดำเนินธุรกิจด้วยธรรมมาภิบาลรวมถึงการคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของผู้ร่วมวงจรธุรกิจทุกท่านในครอบครัวของเรา ดังนั้นสิ่งที่คณะผู้บริหารทุกท่านตระหนักอยู่เสมอคือการนำพาองค์กรของเราให้สามารถก้าวไปสู่ความรุ่งเรืองที่เต็มไปด้วยเกียติยศ ศักดิ์ศรี และจรรยาบรรณอันสง่างามเพื่อดำรงไว้ถึงปรัชญาที่เป็นเสาหลักขององค์กรเราที่เรียกว่า เพนดูรา ดี เอ็น เอ.
ด้วยระบบที่ยอดเยี่ยม การบริการดีเลิศ แผนการจ่ายผลตอบแทน LARGETM ที่สุดยอด ผลิตภัณฑ์อันน่ามหัศจรรย์ จาก สถาบันเพนดูรา อินเตอร์ แลบบอราทอรี่ส์ (สหรัฐอเมริกา) รวมถึงความมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จของคุณ ทั้งหมดนี้คือแรงประสานที่จะส่งชีวิตคุณสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ทะยานสู่เส้นทางของความสำเร็จได้อย่างแท้จริง เมื่อคุณก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว เพนดูรา ไลฟ์ วิชั่นส์ แห่งนี้
ความสำเร็จของคุณมาได้อย่างไร
เพนดูราฯ เชื่อว่า ผู้ที่มีความมุ่งมั่น กระตือรือร้นในการสร้างความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง คู่ควรจะต้องได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมดังนั้นเราจึงออกแบบผลตอบแทนของนักธุรกิจเพนดูราฯ แบ่งเป็น 2 ทางคือ
กำไรจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้กับผู้บริโภค
แผนการจ่ายผลตอบแทน LARGE™
ผลิตภัณฑ์อของเพนดูราฯ เป็นผลิตภัณฑ์ทีมีคุณภาพสูงเห็นผลเร็วและเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน ซึ่งบริษัทฯ มีการทำตลาดโดยสื่อต่างๆ เพื่อเป็นการช่วยส่งเสริมการขายให้นักธุรกิจได้ง่ายขึ้นและมีรายได้เร็วขึ้น อีกทั้งเรายังเป็นที่เดียวที่มีกรมธรรม์ดูแลและคุ้มครองผลข้างเคียงจากการใช้ จึงทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นในความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์เพนดูราฯ มากยิ่งขึ้น และทำให้ท่านนักธุรกิจสามารถขยายโอกาสทางธุรกิจได้อย่างมั่นใจ
ขั้นตอนสู่ความสำเร็จ
1 การเรียนรู้
ซึ่งมี 3 สิ่งสำคัญที่คุณจำเป็นต้องเรียนรู้ คือ
บริษัท – การเข้ามาเป็นหุ้นส่วนกับเพนดูราฯ คุณควรจะต้องศึกษาข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่ทำ เช่น ประวัติความเป็นมาของเพนดูราฯ ความน่าเชื่อคือ การยอมรับจากสถาบันต่างๆ เพื่อให้คุณได้มีความภาคกูมิใจในตัวบริษัท และพร้อมที่จะนำเสนอสิ่งดีๆสู่สังคม และบุคคลที่คุณรักและคนที่คุณรู้จัก ว่าคุณได้อยู่ในบริษัทที่ดี มีความมั่นคงและอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากๆ ที่คุณจะต้องศึกษาอย่างถ่องแท้คือกฏระเบียบและจรรยาบรรณของบริษัท
ผลิตภัณฑ์ – การที่คุณได้มีประสบการณ์จากการใช้ผลิตภัณฑ์ด้วยตัวคุณเองโดยตรง คุณจะรับรู้ถึงประสิทธิภาพอันน่ามหัศจรรย์ และเข้าใจถึงความพึงพอใจได้อย่างแท้จริง ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถถ่ายทอดประสบการณ์และความประทับใจในตัวผลิตภัณฑ์ได้ดีที่สุด ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคเกิดความรู้ด้านข้อมูลของผลิตภัณฑ์จากหลักสูตรที่บริษัทจัดชึ้นเพื่อความเข้าใจในคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ในเชิงลึกให้กับผู้บริโภคได้รับรู้อีกด้วย
แผนการจ่ายผลตอบแทน – คุณควรศึกษาแผนการจ่ายผลตอบแทนให้เข้าใจในแต่ละขั้นตอนรวมถึงวิธีการคำนวณเงินที่จะได้รับด้วย เพราะนี่จะเป็นการศึกษาวิธีการสร้างรายได้เพื่อเป็นแนวทางในการนำธุรกิจคุณสู่ความสำเร็จเพราะในการ “สปอนเซอร์” ผู้ที่ต้องการมาร่วมงานเป็นนักธุรกิจกับคุณ คุณสามารถแนะนำธุรกิจและอธิบายเรื่องผลตอบแทน หรือการขายผลิตภัณฑ์ได้อย่างชัดเจน ซึ่งการศึกษาวิธีการสร้างรายได้นั้นจะต้องเรียนรู้เรื่อที่สำคัญ 2 เรื่อง คือ การเรียนรู้วิธีนำเสนอแผน LARGETM อย่างสั้น กรับ และการใช้ระบบ V.R.-W.I.N.™
2 การนำเสนอผลิตภัณฑ์
คุณควรสร้างความประทับใจต่อผู้บริโภคให้มากที่สุด ด้วยการจำชื่อผู้บริโภคให้แม่นยำ, การมอบชุดทดลองใช้, การับประกันคุณภาพ, หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดในเชิงลบ แต่เหนือกว่าอื่นใดก็คือ “การนำเสนอความจริงแก่ผู้บริโภค” และที่สำคัญคือคุณควรจะต้องทราบว่าผู้บริโภคคุณเป็นใคร มีปัญหาที่ต้องการแก้ไขในเรื่องใด และนำสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับปัญหาของผู้บริโภค ด้วยความชัดเจนและเข้าใจง่าย และเป็นความจริง ทั้งในเรื่องสรรพคุณของผลิตภัณฑ์ ซึ่งอาจมีการเปรียบเทียบความแตกต่าง ข้อที่เหนือกว่าผลิตภัณฑ์ของคู่แข่ง แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงและติดตามผลว่า ผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายไปสร้างความพอใจให้แก่ผู้บริโภคมากน้อยเพียงใด ซึ่งเราสามารถจะนำผลทีผู้บริโภคผู้นั้นได้รับ ไปบอกเล่ากับผู้บริโภคคนอื่นๆ ได้อีกว่า ใช้แล้วได้ผลจริง ซึ่งจะทำให้ผลิตภัณฑ์ของเรามีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
3 การแนะนำนักธุรกิจ
ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะชื่นชอบในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ก่อนแล้วจึงสมัครเป็นนักธุรกิจ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายในการแนะนำธุรกิจให้แก่ผู้ที่ต้องการหาเส้นทางแห่งการประสบความสำเร็จในชีวิตและการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ คุณสามารุช่วยแนะนำให้เขาบรรลุเป้าหมายโดยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเพนดูราฯ เมื่อคุณนะนำนักธุรกิจใหม่ได้ คุณจะได้รับผลตอบแทนตามแผนการจ่ายด้วย ซึ่งโอกาสดีๆได้มาถึงคุณแล้ว สมัครเป็นนักธุรกิจเพนดูราฯ ด้วยตัวคุณเองได้แล้ววันนี้
พื้นฐานของความสำเร็จที่ยั่งยืน
คุณจะไม่มีวันโดดเดี่ยวในการทำธุรกิจเพนดูราฯ เมื่อก้าวมาเป็นส่วนหนึ่งกับเรา เพราะนอกจากแรงสนับสนุนด้านข้อมูลต่างๆ จากอัพไลน์ และผู้แนะนำของคุณแล้ว เพนดูราฯ ยังมีการจัดบรรยายสัมมนา ฝึกอบรม และกิจกรรมอีกากมายในหลักสูตรที่นำเป็นต่อนักธุรกิจ โดยวิทยากรระดับแนวหน้า และเราพร้อมให้คำปรึกษาและความช่วยเหลือในเรื่อต่างๆ ด้านธุรกิจกับคุณตลอดเวลา
ผู้บริโภคสัมพันธ์
จะช่วยตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับ การสมัครนักธุรกิจ, แผนธุรกิจ, การต่ออายุนักธุรกิจ, ข้อมูลผลิตภัณฑ์ ผู้บริโภคสัมพันธ์ของเราจะช่วยคุณตอบคำถามเหล่านี้
การตลาด
จะช่วยส่งเสริมการทำธุรกิจคุณให้ง่ายยิ่งขึ้น ด้วยการรับรู้ในผลิตภัณฑ์และตราผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นพลังผลักดันให้คุณสามารถขยายธุรกิจได้ง่ายขึ้น ด้วยสื่อส่งสริมการขายต่างๆ เช่น DVD, เว็บไซต์บริษัท, Facebook, โบรชัวร์เว็บไซต์นักธุรกิจ, การโฆษณาตามสื่อต่างๆ โปรโมชั่นส่งเสริมการขายและกิจกรรมแนะนำธุรกิจนอกสถานที่ เป็นต้น
ระบบการสั่งซื้อ
จะช่วยให้ระบบการทำธุรกิจของคุณคล่องตัว เพียงแค่แนะนำผลิตภัณฑ์ให้กับผู้บริโภคและสั่งซื้อผลิตภัณฑ์กับเราเท่านั้นทางบริษัทฯจะดำเนินการจัดส่งผลิตภัณฑ์ให้ถึงผู้บริโภคอย่างรวดเร็วและถูกต้องตามข้อมูลที่คุณได้แจ้งไว้
การฝึกอบรม บรรยาย สัมมานา
โดยวิทยากรชั้นแนวหน้าและวิทยากรรับเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อเป็นการแนะแนวทางแก่นักธุรกิจให้เริ่มต้นอย่างถูกต้องและบอกวิธีที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว ทั้งข้อมูลที่จำเป็นสำหรับนักธุรกิจใหม่และข้อมูลเชิงลึกสำหรับนักธุรกิจที่สนใจในแต่ละด้าน
ระบบ Online
เพนดูรา ไลฟ์ วิชั่นส์ เป็นองค์กรที่มองการณ์ไกลและก้าวทันโลกเราได้จัดทำระบบอินเตอร์เน็ตเต็มรูปแบบ ที่เรียกว่า ระบบV.R..W.I.N.TM เพื่อให้คุณบิรหารธุรกิจ หรือทำการบริหารทีมงานผ่านระบบออนไลน์ได้ไม่ว่าจะเป็นการสมัคร การสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ การจัดส่งผลิตภัณฑ์ การบริหารเคือข่ายธุรกิจส่วนตัวของคุณ รวมถึงการติดต่อสื่อสารกับทีมนักธุรกิจเพนดูราฯ ทั่วโลก กล่าวได้สั้นๆ ก็คือท่านสามารถดำเนินธุรกิจได้ทั้งหมดด้วยระบบนั้ เปรียบเสมือนมีสำนักงานและผู้ช่วยส่วนตัวตลอดเวลาด้วยประสิทธิภาพที่เที่ยงตรงแม่นยำเพื่อรองรับการเติบโตทางธุรกิจของท่านอย่างน่ามหัศจรรย์
Getting Started
มาร่วมเป็นนักธุรกิจเพนดูราฯ กันเถอะ
เมื่อคุณต้องการสร้างธุรกิจเพนดูราฯ ของคุณเอง คุณสมัครเป็นนักธุรกิจกับเรา การสมัครเป็นนักธุรกิจจะช่วยให้คุณสามารถเริ่มต้นทำธุรกิจ และมีรายได้จากแผนการจ่ายผลตอบแทน LAEGE™ และธุรกิจของเพนดูราฯ คือการติดต่อสื่อสารกับบุคคลต่างๆ ทั้งผู้แนะนำดาวน์ไลน์ อัพไลน์ ผู้บริโภคเราขอแนะนำให้คุณได้ทำความรู้จักนักธุรกิจเพนดูราฯ ท่านอื่น เพราะพวกเราคือหนึ่งในครอบครัวเดียวกันที่พร้อมจะให้คำปรึกษาว่า ธุรกิจนี้จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายส่วนบุคคลได้อย่างไร …อย่ารอช้าที่จะก้าวมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเพนดูราฯ ตั้งแต่วันนี้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.penduralifevisions.com/thai/index.php
วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558
ภาวะผู้นำ ตอนที่ 11
.
.ภาวะผู้นำ ตอนที่ 11...
...เมื่อเรารู้จักภาวะผู้นำต่าง ๆ แล้ว เรามามองภาวะผู้นำ 5 ระดับให้ทะลุปรุโปร่งว่าภาวะผู้นำในแต่ละระดับมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร...
...1.แม้จะก้าวไปในระดับที่สูงขึ้น แต่ก็ไม่ทิ้ืงของเดิม...
...พวกเราคงคิดเอาเองว่าผู้นำจะไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ โดยก้าวจากระดับหนึ่งไปสู่อีกระดับหนึ่ง เหมือนการเดินขึ้นบันได แต่ความจริง เมื่อไปถึงระดับใดได้สำเร็จต้องไม่ทิ้งระดับก่อนหน้านั้นไป แต่ใช้ระดับนั้นต่อยอดขึ้นไปอีก...
...ลองคิดตามผมนะครับ...
...ถ้าเราเริ่มต้นจากการมีตำแหน่งผู้นำ จากนั้นก็สร้างความสัมพันธ์กับผู้คนที่เราดูแล โดยที่เราไม่จำเป็นต้องลาออกจากตำแหน่ง...
...ความหมายคือ ถ้าไปถึงระดับที่ 2แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเรื่องตำแหน่งอีกต่อไป...
...คราวนี้พอเราสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น(ภาวะผู้นำระดับ 2) แล้วก้าวขึ้นไปสู่ระดับของการสร้างผลงาน(ภาวะผู้นำระดับ 3) เราก็จะยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่สร้างมา และยังได้ย้อนกลับไปสู่ระดับ 1 อีกครั้ง...
...คุณอาจคิดเอาเองว่าผู้นำจะไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ โดยก้าวจากระดับหนึ่งไปสู่อีกระดับหนึ่ง เหมือนการเดินขึ้นบันได แต่ความจริงคือ เมื่อไปถึงระดับใดได้สำเร็จแล้ว ต้องไม่ทิ้งระดับก่อนหน้านั้นไป แต่ใช้ระดับนั้นต่อยอดขึ้นไปอีก...
...2.ภาวะผู้นำที่คุณมีกับแต่ละคนจะแตกต่างกันไป ไม่เหมือนกัน...
....ภาวะผู้นำที่คุณมีกับแต่ละคนจะแตกต่างกันไป ไม่เหมือนกัน...
...เช่น คนที่เพิ่งเข้ามาทำงานในวันแรกเขาจะยอมรับและทำตามเพราะตำแหน่งของคุณ...
...แต่ในขณะที่คนอื่นที่คุณได้ทุ่มเทเวลาคอยดูแล ปลุกปั้นให้เขาเป็นผู้นำ เขาอาจจะยอมรับและจัดให้คุณเป็นผู้นำระดับที่ 4 ก็ได้...
...การก้าวไปให้ถึงภาวะผู้นำระดับต่างๆ ไม่เหมือนกับการได้รับปริญญา...
...ไม่เหมือนกับการสร้างสถิติของนักกีฬา...
...ไม่ใช่แค่ทำสำเร็จแล้วจบกัน แต่เป็นเหมือนการวิ่งแข่งทุกๆวันเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง...
...สิ่งสำคัญคือ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำระดับไหน ผู้นำก็ไม่ได้อยู่ดีๆแล้วขึ้นไปถึงระดับนั้นๆได้...
...ต้องพยายามสร้างภาวะผู้นำกับแต่ละคน ซึ่งระดับต่างๆนั้นจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตลอดเวลา...
...ปัจจัยที่มีผลที่สุดคือ ระดับภาวะผู้นำที่คุณกับแต่ละคน คนอื่นจะแสดงออกต่อคุณอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับระดับภาวะผู้นำที่คุณมีต่อพวกเขา ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงไปได้...
...3.ยิ่งก้าวสูงขึ้นไป การทำหน้าที่ผู้นำยิ่งง่ายขึ้น...
...ข่าวดี คือ...
...ยิ่งคุณไต่ต้าวไปสู่ภาวะผู้นำที่สูงขึ้น คุณจะรู้สึกว่าทำหน้าที่ผู้นำได้ง่ายดายขึ้น...
...ในความเป็นจริงจากประสบการณ์ของผม ผมก็รู้สึกเป็นเช่นนั้นครับ...
...การก้าวขึ้นไปในแต่ละระดับจะช่วยให้เรานำคนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น...
...Influence หรือความสามารถโน้มน้าวและผลักดันให้ผู้คนทำสิ่งต่างๆก็ยิ่งเพิ่มตามไปด้วย ผู้คนก็พร้อมจะทำตามเรามากขึ้น...
...ข่าวร้าย คือ...
...การไต่ระดับภาวะผุ้นำไม่ใช่ของง่าย เพราะถ้าง่าย ทุกคนคงได้เป็นผู้นำระดับที่ 5 กันหมดแล้ว...
...4.ยิ่งก้าวสูงขึ้นไป การไต่ระดับยิ่งต้องใช้เวลาและความมุ่งมั่นมากขึ้น...
...การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นต้องใช้เวลา ความพยายาม ความต่อเนื่องและความมุ่งมั่น...
...การก้าวไปสู่ระดับที่ 3 คือการสร้างผลงานสม่ำเสมอนั้นยากกว่าการหาเพื่อน...
...รวมทั้งต้องใช้ระยะเวลานานขึ้นไปอีกและหากจะไปให้ถึงในระดับที่ 4 ซึ่งเราต้องพัฒนาคนอื่นให้กลายเป็นผู้นำที่ดี...
...ส่วนการเป็นผู้นำระดับที่ 5 อาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิต คือผู้ที่จะสร้างผู้นำที่จะคอยสร้างผู้นำคนอื่นๆขึ้นมาอีก...
...การขึ้นไปที่จุดสูงสุดไม่ใช่เรื่องง่าย...
...แต่ละครั้งที่ก้าวขึ้นไปต้องยอมเหนื่อย ต้องมุ่งมั่นมากขึ้น และต้องใช้พลังมากขึ้นในแต่ละครั้งที่ก้าวขึ้นไป...
...ต้องทุมเทอย่างสุดกำลัง ต้องเสียสละ หรือลงมือทำอย่างสุดความสามารถ...
...ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ไม่มีใครประสบความสำเร็จได้ด้วยการทุ่มเทเพียงเล็กน้อย...
...ไม่มีทีมใดเป็นแชมป์ได้โดยไม่เสียสละหรือลงมือทำอย่างสุดความสามารถ...
...ติดตามในตอนที่ 12 ครับ...
ขอบคุณบทความจาก
นพ.ไมตรี พิชญังกูร
.ภาวะผู้นำ ตอนที่ 11...
...เมื่อเรารู้จักภาวะผู้นำต่าง ๆ แล้ว เรามามองภาวะผู้นำ 5 ระดับให้ทะลุปรุโปร่งว่าภาวะผู้นำในแต่ละระดับมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร...
...1.แม้จะก้าวไปในระดับที่สูงขึ้น แต่ก็ไม่ทิ้ืงของเดิม...
...พวกเราคงคิดเอาเองว่าผู้นำจะไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ โดยก้าวจากระดับหนึ่งไปสู่อีกระดับหนึ่ง เหมือนการเดินขึ้นบันได แต่ความจริง เมื่อไปถึงระดับใดได้สำเร็จต้องไม่ทิ้งระดับก่อนหน้านั้นไป แต่ใช้ระดับนั้นต่อยอดขึ้นไปอีก...
...ลองคิดตามผมนะครับ...
...ถ้าเราเริ่มต้นจากการมีตำแหน่งผู้นำ จากนั้นก็สร้างความสัมพันธ์กับผู้คนที่เราดูแล โดยที่เราไม่จำเป็นต้องลาออกจากตำแหน่ง...
...ความหมายคือ ถ้าไปถึงระดับที่ 2แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเรื่องตำแหน่งอีกต่อไป...
...คราวนี้พอเราสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น(ภาวะผู้นำระดับ 2) แล้วก้าวขึ้นไปสู่ระดับของการสร้างผลงาน(ภาวะผู้นำระดับ 3) เราก็จะยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่สร้างมา และยังได้ย้อนกลับไปสู่ระดับ 1 อีกครั้ง...
...คุณอาจคิดเอาเองว่าผู้นำจะไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ โดยก้าวจากระดับหนึ่งไปสู่อีกระดับหนึ่ง เหมือนการเดินขึ้นบันได แต่ความจริงคือ เมื่อไปถึงระดับใดได้สำเร็จแล้ว ต้องไม่ทิ้งระดับก่อนหน้านั้นไป แต่ใช้ระดับนั้นต่อยอดขึ้นไปอีก...
...2.ภาวะผู้นำที่คุณมีกับแต่ละคนจะแตกต่างกันไป ไม่เหมือนกัน...
....ภาวะผู้นำที่คุณมีกับแต่ละคนจะแตกต่างกันไป ไม่เหมือนกัน...
...เช่น คนที่เพิ่งเข้ามาทำงานในวันแรกเขาจะยอมรับและทำตามเพราะตำแหน่งของคุณ...
...แต่ในขณะที่คนอื่นที่คุณได้ทุ่มเทเวลาคอยดูแล ปลุกปั้นให้เขาเป็นผู้นำ เขาอาจจะยอมรับและจัดให้คุณเป็นผู้นำระดับที่ 4 ก็ได้...
...การก้าวไปให้ถึงภาวะผู้นำระดับต่างๆ ไม่เหมือนกับการได้รับปริญญา...
...ไม่เหมือนกับการสร้างสถิติของนักกีฬา...
...ไม่ใช่แค่ทำสำเร็จแล้วจบกัน แต่เป็นเหมือนการวิ่งแข่งทุกๆวันเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง...
...สิ่งสำคัญคือ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำระดับไหน ผู้นำก็ไม่ได้อยู่ดีๆแล้วขึ้นไปถึงระดับนั้นๆได้...
...ต้องพยายามสร้างภาวะผู้นำกับแต่ละคน ซึ่งระดับต่างๆนั้นจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตลอดเวลา...
...ปัจจัยที่มีผลที่สุดคือ ระดับภาวะผู้นำที่คุณกับแต่ละคน คนอื่นจะแสดงออกต่อคุณอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับระดับภาวะผู้นำที่คุณมีต่อพวกเขา ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงไปได้...
...3.ยิ่งก้าวสูงขึ้นไป การทำหน้าที่ผู้นำยิ่งง่ายขึ้น...
...ข่าวดี คือ...
...ยิ่งคุณไต่ต้าวไปสู่ภาวะผู้นำที่สูงขึ้น คุณจะรู้สึกว่าทำหน้าที่ผู้นำได้ง่ายดายขึ้น...
...ในความเป็นจริงจากประสบการณ์ของผม ผมก็รู้สึกเป็นเช่นนั้นครับ...
...การก้าวขึ้นไปในแต่ละระดับจะช่วยให้เรานำคนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น...
...Influence หรือความสามารถโน้มน้าวและผลักดันให้ผู้คนทำสิ่งต่างๆก็ยิ่งเพิ่มตามไปด้วย ผู้คนก็พร้อมจะทำตามเรามากขึ้น...
...ข่าวร้าย คือ...
...การไต่ระดับภาวะผุ้นำไม่ใช่ของง่าย เพราะถ้าง่าย ทุกคนคงได้เป็นผู้นำระดับที่ 5 กันหมดแล้ว...
...4.ยิ่งก้าวสูงขึ้นไป การไต่ระดับยิ่งต้องใช้เวลาและความมุ่งมั่นมากขึ้น...
...การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นต้องใช้เวลา ความพยายาม ความต่อเนื่องและความมุ่งมั่น...
...การก้าวไปสู่ระดับที่ 3 คือการสร้างผลงานสม่ำเสมอนั้นยากกว่าการหาเพื่อน...
...รวมทั้งต้องใช้ระยะเวลานานขึ้นไปอีกและหากจะไปให้ถึงในระดับที่ 4 ซึ่งเราต้องพัฒนาคนอื่นให้กลายเป็นผู้นำที่ดี...
...ส่วนการเป็นผู้นำระดับที่ 5 อาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิต คือผู้ที่จะสร้างผู้นำที่จะคอยสร้างผู้นำคนอื่นๆขึ้นมาอีก...
...การขึ้นไปที่จุดสูงสุดไม่ใช่เรื่องง่าย...
...แต่ละครั้งที่ก้าวขึ้นไปต้องยอมเหนื่อย ต้องมุ่งมั่นมากขึ้น และต้องใช้พลังมากขึ้นในแต่ละครั้งที่ก้าวขึ้นไป...
...ต้องทุมเทอย่างสุดกำลัง ต้องเสียสละ หรือลงมือทำอย่างสุดความสามารถ...
...ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ไม่มีใครประสบความสำเร็จได้ด้วยการทุ่มเทเพียงเล็กน้อย...
...ไม่มีทีมใดเป็นแชมป์ได้โดยไม่เสียสละหรือลงมือทำอย่างสุดความสามารถ...
...ติดตามในตอนที่ 12 ครับ...
ขอบคุณบทความจาก
นพ.ไมตรี พิชญังกูร
วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2558
MLM And E- Commerce Innovation: 3G,4G Era.
MLM And E- Commerce Innovation: 3G,4G Era.
เครือข่ายและการค้าขายผ่านออนไลน์ในยุค 3G,4G......นวัตกรรมทางความคิดของมนุษย์จักเกิดขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด พัฒนาการทางด้านต่างๆของโลกมนุษย์ก็ไม่มีวันหยุดยั้ง การทำมาหากิน การค้าการขายก็เหมือนกัน เปลี่ยนแปลงไปไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าตามไม่ทันก็คงตกยุคสมัย ถ้าเกาะตามทันยุคสมัยก็คงพอเอาตัวรอดได้ แต่ถ้าจะให้ดี เราต้องคิดล่วงหน้า วางแผนและทำล่วงหน้า คิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นใน 1,2,3...ปีข้างหน้า แล้วเราทำล่วงหน้าไปก่อน เราถึงจะเป็นผู้ชนะได้...
.....MLM: การตลาดหลายชั้นแบบเครือข่าย 3ยุค โดยในทัศนะของผม(นพ.ไมตรี พิชญังกูร) แบ่งการทำเครือข่ายออกเป็น3ยุค ดังนี้...
.....ยุคที่1:เคาะประตู ขายของ...20-30ปีที่ผ่านมาหรือแม้แต่ทุกวันนี้ การทำเครือข่ายส่วนมากก็ยังคงใช้วิธีนี้ นำสินค้าไปเคาะประตูขายตามบ้านเพื่อน...
.....ยุคที่2: สร้างผู้นำ...ในรอบ10ปีที่ผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ หลายๆบริษัทจะเน้นการสร้างผู้นำผ่านระบบ โดยเชื่อกันว่าผู้นำจะสามารถดูแลองค์กรธุรกิจได้ แต่ด้วยวิธีนี้เราจะพบว่า จะมีการโน้มน้าว(Motivate)ในระบบกันอย่างมาก คนเริ่มรู้สึกไม่ชอบเอามากๆ จะต้องไปประชุมกันมากมายตามที่ต่างๆ จนคนส่วนมากเริ่มรู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตผิดธรรมชาติไป...
.....ยุคที่3: ยุค 3G,4G...จากสถิติในอเมริกาพบว่า ขณะนี้การซื้อขายสินค้าของคนอเมริกา 90%ซื้อขายผ่านทางออนไลน์ แนวโน้ม(Trend)แบบนี้อีกไม่นานก็จะระบาดไปทั่วโลกตามการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยี่ ผมเชื่อว่าการซื้อขายสินค้าจากนี้ไปทุกอย่างจะจบบนมือถือ ไม่ว่าจะเป็นการหาสินค้า เลือกสินค้า การสั่งซื้อ การขาย การชำระเงิน ภาษีและระบบการขนส่ง ทุกกระบวนการจะจบบนมือถือ(Iphone,Smartphone)...
.....ธุรกิจเครือข่าย ก็เป็นการค้าขายอย่างหนึ่ง การคิดและทำให้สอดคล้องกับยุคสมัยตามแนวโน้มที่น่าจะเป็น น่าจะเป็นความปลอดภัยของการทำเครือข่ายที่ยั่งยืน...
.....บริษัท Pendura Life Visions จำกัด ได้วิจัยและทราบถึงการเปลี่ยนแปลงและแนวโน้มของโลก(Trend) จึงได้ใช้เวลา 2-3ปีในการเตรียมตัวทำธุรกิจ โดยออกแบบธุรกิจเป็นแบบ E-Commerce100% แต่จ่ายผลตอบแทนแบบ MLM โดยมี pay pal เป็นpartner ซึ่งเป็นบริษัทMLMบริษัทเดียวที่pay pal เลือกเป็นpartner...
.....ระบบในการทำธุรกิจของบริษัท Pendura Life Visions ออกแบบและสร้างสรรค์จากงานวิจัย โดยมีบริษัท Microsoft (Thailand) เป็นผู้ออกแบบระบบให้เราทำงานกันอย่างสะดวกสบายที่สุด และมีประสิทธิ์ภาพสูงสุด...
.....Pendura Life Visions เป็นบริษัทแรกของโลกที่มีนวัตกรรมทางความคิด(Innovation) โดยการนำเอาระบบMLMและE-Commerce มาผสมผสานให้เข้ากันอย่างลงตัวที่สุด...
.....เรามองว่าโลกคือตลาดของเรา บริษัทได้สร้างระบบออนไลน์ ให้เราสามารถทำธุรกิจกับคนทั่วโลกได้ ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน ท่านก็สามารถทำธุรกิจผ่านโทรศัพท์มือถือได้ ลูกค้าของท่านจะอยู่ที่ไหนบนโลกนี้ ขอเพียงที่นั่นมีคลื่นโทรศัพท์ ท่านก็สามารถทำธุรกิจกับเขาได้ โดยเราไม่จำเป็นต้องเดินทางไปหาเขาถึงที่ เป็นการลดค่าใช้จ่ายลงไปอย่างมาก สะดวกมาก เป็นการทลายกำแพงอุปสรรคการค้าต่างๆลงไปหมด...
.....เมื่อเทียบกับการทำงานอื่นๆหรือในระบบ MLM ในวันและเวลาที่เท่ากัน ความเหนื่อยเท่ากัน เราเป็นระบบแรกของโลกที่สามารถจ่ายค่าตอบแทนที่มากที่สุดในโลกเช่นกัน
ขอบคุณ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร
ผู้เขียนข้อมูล
วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558
ภาวะผู้นำ ตอนที่ 10
..ภาวะผู้นำ ตอนที่ 10...
...แนวคิดที่ว่าภาวะผู้นำทำงานอย่างไร แนวคิดนั้นคือเรื่องภาวะผู้นำ 5 ระดับนั่นเอง ซึ่งเราเองก็สามารถเรียนรู้วิธีสร้างภาวะผู้นำที่นำไปใช้ได้จริง...
...เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนรุ่งเรืองและล้มเหลวได้จากเรื่องภาวะผู้นำ ฉะนั้นถ้าคุณอยากสร้างสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ล่ะก็ การเรียนรู้วิธีเป็นผู้นำให้ดีขึ้นย่อมช่วยคุณได้...
...จำได้ใช่มั้ยครับ ว่าภาวะผู้นำเป็นเรื่องของ Influence หรือการผลักดันและโน้มน้าวให้คนอื่นทำสิ่งต่างๆ หมายความว่า ถ้าหากเราผลักดันคนอื่นได้มากขึ้น ก็ย่อมเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น...
...ภาวะผู้นำ 5 ระดับ ช่วยให้เห็นภาพของเรื่องภาวะผู้นำที่ชัดเจน เพราะเป็นเรื่องที่ตรงไปตรงมา และสามารถจะอธิบายได้ ดังนั้นไม่ว่าใครก็เรียนรู้เรื่องนี้ได้ทั้งสิ้น...
...การเป็นผู้นำเป็นสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ"ไม่ใช่การหยุดอยู่กับที่" ความท้าทายของภาวะผู้นำอยู่ที่การสร้างความเปลี่ยนแปลง และส่งเสริมให้เกิดการเติบโต...
...ภาวะผู้นำ 5 ระดับจะช่วยแบ่งเรื่องการเป็นผู้นำออกเป็นขั้นตอนที่เข้าใจได้ง่าย ช่วยให้มีแผนในการพัฒนาภาวะผู้นำ...
...เพราะสิ่งที่ผู้นำควรนึกถึงอย่างยิ่งคือการพัฒนาภาวะผู้นำของตัวเอง ผู้นำที่ดีไม่ใช่การทำให้ตัวเองก้าวหน้า แต่เป็นการทำให้"ทีม"ก้าวหน้า...
...ภาวะผู้นำ 5 ระดับช่วยให้สอดคล้องไปกับทั้งการปฏิบัติ หลักการ และเรื่องค่านิยม ดังนี้ครับ...
...The 5 Levels Of Leadership (ภาวะผู้นำ 5 ระดับ ) เขียนโดย John C.Maxwell ปรมาจารย์ทางด้าน Leadership เป็นหนังสือที่อธิบายเรื่องของภาวะผู้นำได้ดีที่สุด ได้แบ่งภาวะผู้นำเป็น 5 ระดับ ดังนี้...
...1 Position (ตำแหน่ง) เป็นภาวะผู้นำระดับต่ำที่สุด ผู้คนยอมทำตามเพราะความจำเป็น ผู้นำมีสิทธิ์ (Rights) ตามตำแหน่งในการนำ...
...2 Permission (การยอมรับ) ผู้คนยอมทำตามเพราะว่า อยากจะทำ พื้นฐานทั้งหมดอยู่ที่ความสัมพันธ์กับคนอื่น (Relationships) ในระดับของการยอมรับ...
...3 Production (การสร้างผลงาน) ผู้คนยอมทำตามเพราะสิ่งต่าง ๆ ที่คุณได้ทำให้องค์กร พื้นฐานสำคัญอยู่ที่ผลงานต่าง ๆ (Results) ที่คุณได้สร้างขึ้นมา...
...4 People Development (การพัฒนาคน) ผู้คนยอมทำตามเพราะสิ่งต่าง ๆ ที่คุณได้ทำให้พวกเขา พื้นฐานสำคัญอยู่ที่การพัฒนาทีมงานให้เป็นผู้นำเหมือนคุณ (Reproduction)...
...5 Pinnacle คือ สุดยอดผู้นำ ผู้คนยอมทำตามเพราะตัวคุณ และสิ่งที่คุณเป็นตัวแทน (Respect) หรือที่เราเรียกกันว่า เป็น Idol นั่นเอง พื้นฐานสำคัญอยู่ที่ คุณใช้ความพยายาม ทักษะ และความตั้งใจจริง ความสามารถอย่างสูง และพรสวรรค์เท่านั้น จนสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนทั่ว ๆ ไปได้...
...เมื่อเรารู้จักภาวะผู้นำต่าง ๆ แล้ว เรามามองภาวะผู้นำ 5 ระดับให้ทะลุปรุโปร่งว่าภาวะผู้นำในแต่ละระดับมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร...
...1.แม้จะก้าวไปในระดับที่สูงขึ้น แต่ก็ไม่ทิ้งของเดิม...
...ติดตามในตอนที่ 11 .....
ขอบคุณบทความดีๆของ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร
วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558
Collathin Gold® (คอลลาทินโกลด์) มีกระบวนการทำงานอย่างไร?
Collathin Gold® (คอลลาทินโกลด์) มีกระบวนการทำงานอย่างไร?
Collathin Gold®(คอลลาทินโกลด์) มีกระบวนการทำงานที่เป็นระบบ เพื่อให้ร่างกายสามารถคืนกลับสู่องค์รวมแห่งความงาม โดยจะช่วยแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบด้วยกระบวนการ ดังนี้

Collathin Gold® (คอลลาทินโกลด์) หนึ่งเดียวที่ให้ความงามแบบองค์รวม 3 ประการ (Total Vitality)
กลูตาไธโอน (Glutathaione) ใน Collathin Gold® (คอลลาทินโกลด์) ทำหน้าที่ชะล้างสารพิษตกค้างพร้อมทั้งกำจัดอนุมูลอิสระออกจากภายในและภายนอกเซลล์ ช่วยให้เม็ดเลือดแดงมีความแข็งแรง และเร่งการซึมผ่านของสารอาหารเข้าสู่เซลล์ ทำให้เซลล์ได้รับการปกป้องจากการถูกทำลาย ร่างกายก็จะกลับเป็นหนุ่มสาวขึ้นอีกครั้ง
นอกจากนี้ยังช่วยทำลายอนุมูลอิสระด้วยกระบวนการทางฟิสิกส์ ซึ่ง Collathin Gold® (คอลลาทินโกลด์) จะดูดซับพลังงานจากอนุมูลอิสระที่มีพลังงานสูง (single state ,O2*) แล้วถ่ายเทออกไปในรูปของความร้อน ทำให้อนุมูลอิสระเปลี่ยนรูปเป็นสารที่ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย


ผลลัพธ์ที่ได้ : ช่วยป้องกันและลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวพรรณสดใสเนียนนุ่ม เปล่งประกายอย่างมีสุขภาพดี
องค์รวมความงามที่ 2 : รูปร่างเพรียวบางกระชับได้สัดส่วน (Body Turn Around)
สำหรับปัญหาของสัดส่วนและรูปร่างนั้น Collathin Gold® (คอลลาทินโกลด์) จะสร้างกระบวนการอย่างเป็นระบบเพื่อแก้ปัญหา ดังนี้

ผลลัพธ์ที่ได้ : ช่วยลดน้ำหนัก ลดรอบแขน ขา และรอบเอว ทำให้รูปร่างดูดี เพรียวกระชับ
องค์รวมความงามที่ 3 : ปรับผิวพรรณให้ขาวสดใสกว่าที่เคย (Whitening & brightening)
สำหรับปัญหาของสีผิวและความหมองคล้ำนั้น Collathin Gold® (คอลลาทินโกลด์) จะสร้างกระบวนการอย่างเป็นระบบเพื่อแก้ปัญหาดังนี้
3. ช่วยเปลี่ยนผิวคล้ำให้เป็นผิวขาวอมชมพู โดยกลูตาไธโอน (Glutathaione)จะเปลี่ยนสาร Dopaquinone ในเม็ดสีผิวให้เป็นสาร Pheomelanin (ฟิโอเมลานิน) ทำให้เกิดเม็ดสีแดง (พบได้ในชาวยุโรป) ทำให้ผิวพรรณมีสีขาวอมชมพู

ผลลัพธ์ที่ได้ : ปรับสภาพผิวทั่วเรือนร่างให้ขาวสดใส เปล่งประกายอย่างเห็นได้ชัด พัฒนาการของผลลัพธ์ในด้านการปรับสภาพผิวพรรณให้ขาวสดใส
อย่างไรก็ตามแม้ว่าผู้ใช้จะเห็นผลลัพธ์รวดเร็ว อย่างพึงพอใจภายใน 4 สัปดาห์ แต่หากรับประทาน Collathin Gold® (คอลลาทินโกลด์) เป็นประจำสม่ำเสมอแล้ว จะช่วยคงความงามแบบองค์รวม 3 ประการ ให้อยู่เนิ่นนานดังใจปรารถนา ทางผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันเพนดูราฯแนะนำให้ทานผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องอย่างน้อย 3 เดือน
วิธีใช้ รับประทานวันละ 1-2 เม็ด และควรดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว
คำแนะนำในการใช้ Collathin Gold® (คอลลาทินโกลด์) อย่างเห็นผล
Collathin Gold®(คอลลาทินโกลด์) มีกระบวนการทำงานที่เป็นระบบ เพื่อให้ร่างกายสามารถคืนกลับสู่องค์รวมแห่งความงาม โดยจะช่วยแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบด้วยกระบวนการ ดังนี้
- เพิ่มพลังงานแก่เซลล์ทั่วร่างกายผ่านกระบวนการ cAMP อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยสลายและเผาผลาญไขมันส่วนเกินที่ร่างกายเก็บสะสมไว้

- เพิ่มความยืดหยุ่นและความกระชับเปล่งปลั่งให้กับผิวพรรณ
- ปรับสมดุลของกระบวนการควบคุมเมลานินเพื่อผิวขาวสดใส
- ชะล้างสารพิษที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญไขมันออกจากเซลล์ ข่วยลดความหมองคล้ำของผิวพรรณที่เกิดจากการลดน้ำหนัก
- เพิ่มประสิทธิภาพในการไหลเวียนของโลหิต ทำให้เซลล์ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารเพิ่มมากขึ้น ช่วยให้ผิวเปล่งประกายความขาวสดใส
- มีระบบขับถ่ายที่เป็นปกติ
Collathin Gold® (คอลลาทินโกลด์) หนึ่งเดียวที่ให้ความงามแบบองค์รวม 3 ประการ (Total Vitality)
องค์รวมความงามที่ 1 : คงความสวยสดใส ต่อต้านริ้วรอยก่อนวัย (Youth)
สำหรับปัญหาของผิวพรรณแล้วริ้วรอยนั้น Collathin Gold® (คอลลาทินโกลด์) จะสร้างกระบวนการอย่างเป็นระบบเพื่อแก้ไขปัญหา ดังนี้- การชะล้างสารพิษออกจากผิวหนัง
กลูตาไธโอน (Glutathaione) ใน Collathin Gold® (คอลลาทินโกลด์) ทำหน้าที่ชะล้างสารพิษตกค้างพร้อมทั้งกำจัดอนุมูลอิสระออกจากภายในและภายนอกเซลล์ ช่วยให้เม็ดเลือดแดงมีความแข็งแรง และเร่งการซึมผ่านของสารอาหารเข้าสู่เซลล์ ทำให้เซลล์ได้รับการปกป้องจากการถูกทำลาย ร่างกายก็จะกลับเป็นหนุ่มสาวขึ้นอีกครั้ง
นอกจากนี้ยังช่วยทำลายอนุมูลอิสระด้วยกระบวนการทางฟิสิกส์ ซึ่ง Collathin Gold® (คอลลาทินโกลด์) จะดูดซับพลังงานจากอนุมูลอิสระที่มีพลังงานสูง (single state ,O2*) แล้วถ่ายเทออกไปในรูปของความร้อน ทำให้อนุมูลอิสระเปลี่ยนรูปเป็นสารที่ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย
- เสริมสร้างสารต่อต้านอนุมูลอิสระ

- เพิ่มความยืดหยุ่นและความกระชับให้กับผิวพรรณ

- เพิ่มปริมาณการไหลเวียนออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเซลล์
ผลลัพธ์ที่ได้ : ช่วยป้องกันและลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวพรรณสดใสเนียนนุ่ม เปล่งประกายอย่างมีสุขภาพดี
พัฒนาการของผลลัพธ์ในด้านการต่อต้านริ้วรอยก่อนวัย
สัปดาห์ที่ 1
ชะล้างสารพิษ
ออกจากผิวหนัง
|
|
สัปดาห์ที่ 2
เพิ่มความยืดหยุ่น
ให้กับผิวหนัง
|
|
สัปดาห์ที่ 3
กระชับมวลกล้ามเนื้อ
ให้ผิวเต่งตึง
|
|
สัปดาห์ที่ 4
บรรลุเป้าหมายในการสร้าง
ความเยาว์วัยอีกครั้ง
|
|
สำหรับปัญหาของสัดส่วนและรูปร่างนั้น Collathin Gold® (คอลลาทินโกลด์) จะสร้างกระบวนการอย่างเป็นระบบเพื่อแก้ปัญหา ดังนี้
- ชะล้างสารพิษออกจากเรือนร่าง
- เพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างเอนไซม์และสลายไขมันส่วนเกิน
- ช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินที่ร่างกายสะสมไว้ และป้องกันสารสะสมไขมันขึ้นมาใหม่
ด้วยประสิทธิภาพของโครเมียม อะมิโน แอซิด คีเลต (Chromium Amino Acid Chelated), แมงกานีส อะมิโน แอซิด คีเลต (Manganese Amino Acid Chelated) และซิงค์ อะมิโน แอซิด คีเลต (Zinc Amino Acid Chelated) ใน Collathin Gold® (คอลลาทินโกลด์) จะเร่งการเผาผลาญไขมันส่วนเกินที่ร่างกายสะสมไว้โดยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการเปลี่ยนไขมันให้กลายเป็นพลังงานและยับยั้งไขมันที่เกิดจากพลังงานส่วนเกินในร่างกายโดยหยุดกระบวนการสังเคราะห์กรดไขมันและยับยั้ง acyl-CoA-cholesterol acyltransferase (ACAT) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่เร่งให้มีการสะสมคอเลสเตอรอลส่วนเกินในรูปของคอเลสเตอริสเอสเทอร์ ทำให้ไม่เกิดการสะสมไขมันขึ้นใหม่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย - ปรับความยืดหยุ่นให้กับผิวพรรณโดยไลโอฟิลไลซ์ แซลมอนคอลลาเจน (Lyophilized Salmon Collagen) ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง และเพิ่มสารอาหารที่จำเป็นในการสร้างเนื้อเยื่อผิว ยับยั้งการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
- Collathin Gold®(คอลลาทินโกลด์) ช่วยเร่งกระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจนใหม่เพื่อทดแทนคอลลาเจนเก่าที่ผิดรูปและเสื่อมสภาพ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ผิวหนังดูหย่อนยานไม่สมบูรณ์ ทำให้ผิวพรรณใหม่ยืดหยุ่น กระชับขึ้น มีความแข็งแรงทนต่อสภาพถูกทำลายจากแสงแดด และมลภาวะต่างๆ จึงยับยั้งการเกิดริ้วรอยหลังจากการสลายไขมัน
- น้ำกรดไขมันอิสระเข้าสู่กระบวนการ Mitochondria (ไมโตคอนเดรีย) และเผาผลาญออกมาเป็นพลังงาน

- กระชับกล้ามเนื้อ
ผลลัพธ์ที่ได้ : ช่วยลดน้ำหนัก ลดรอบแขน ขา และรอบเอว ทำให้รูปร่างดูดี เพรียวกระชับ
พัฒนาการของผลลัพธ์ในด้านผลลัพธ์ในการปรับเรือนร่างให้เพรียวบางสมส่วน
สัปดาห์ที่ 1
ชะล้างสารพิษออกจากเรือนร่าง
|
|
สัปดาห์ที่ 2
สลายไขมันสะสมในร่างกาย
|
|
สัปดาห์ที่ 3
เผาผลาญไขมันที่สะสมและป้องกันการสร้างไขมันขึ้นมาใหม่
|
|
สัปดาห์ที่ 4
ลดการกักตุนและการก่อตัวของไขมัน
|
|
สำหรับปัญหาของสีผิวและความหมองคล้ำนั้น Collathin Gold® (คอลลาทินโกลด์) จะสร้างกระบวนการอย่างเป็นระบบเพื่อแก้ปัญหาดังนี้
- การชะล้างสารพิษออกจากชั้นสีผิว
- ทำหน้าที่ปกป้องผิวพรรณจากภายใน โดยช่วยลดการดูดซับรังสี ยูวี ซึ่งส่งผลเสียต่อผิวหนัง
- จุดด่างดำลดลง
- ยับยั้งการหลั่งสาร MSH (Melanin Stimulating Hormone) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างเม็ดสีผิว
- ยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการสร้างเม็ดสีผิว


- ปกป้องผิวพรรณด้วยการบำรุงจากภายใน
ผลลัพธ์ที่ได้ : ปรับสภาพผิวทั่วเรือนร่างให้ขาวสดใส เปล่งประกายอย่างเห็นได้ชัด พัฒนาการของผลลัพธ์ในด้านการปรับสภาพผิวพรรณให้ขาวสดใส
สัปดาห์ที่ 1
ชะล้างสารพิษออกจากชั้นสีผิว
|
|
สัปดาห์ที่ 2
ลดความหมองค้ำจากเม็ดสีเมลานิน
|
|
สัปดาห์ที่ 3
ปกป้องสภาพสีผิว
|
|
สัปดาห์ที่ 4
บรรลุเป้าหมายในการสร้าง
ความขาวสดใส
|
|
อย่างไรก็ตามแม้ว่าผู้ใช้จะเห็นผลลัพธ์รวดเร็ว อย่างพึงพอใจภายใน 4 สัปดาห์ แต่หากรับประทาน Collathin Gold® (คอลลาทินโกลด์) เป็นประจำสม่ำเสมอแล้ว จะช่วยคงความงามแบบองค์รวม 3 ประการ ให้อยู่เนิ่นนานดังใจปรารถนา ทางผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันเพนดูราฯแนะนำให้ทานผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องอย่างน้อย 3 เดือน
วิธีใช้ รับประทานวันละ 1-2 เม็ด และควรดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว
คำแนะนำในการใช้ Collathin Gold® (คอลลาทินโกลด์) อย่างเห็นผล
- สำหรับผู้ที่ไม่เคยใช้ Collathin Gold® (คอลลาทินโกลด์) มาก่อน ในสัปดาห์แรก ควรรับประทานสองเวลาคือก่อนอาหารเที่ยง 1 เม็ด และก่อนอาหารเย็น 1 เม็ด สัปดาห์ที่สองรับประทาน 1 เวลา คือก่อนอาหารเที่ยง 1 เม็ด และเนื่องจากผลิตภัณฑ์ฯ นี้ได้ถูกพัฒนาและผลิตภายใต้มาตรฐาน Neutraceutical Supplement ดังนั้นในช่วงเวลา 60 นาทีแรกหลังจากรับประทาน จะเป็นช่วงที่ผลิตภัณฑ์ฯ กำลังสร้างกระบวนการเผาผลาญไขมันของท่านอย่างเต็มประสิทธิภาพสูงสุด
- เนื่องจากระบบพื้นฐาน และสภาพร่างกายที่แตกต่างไปในแต่ละบุคคล การเผาผลาญไขมันนั้นมักไม่แสดงอาการใดๆ สำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามสำหรับบางท่าน ในขณะที่กำลังเผาผลาญไขมันอยู่นั้น กระบวนการนี้อาจจะทำให้ท่านรู้สึกว่าร่างกายอุ่นขึ้น หรือมีเหงื่อออกเล็กน้อย และอาจรู้สึกง่วงนอนหรืออ่อนเพลียเหมือน การออกกำลังกาย เพราะไขมันของท่านกำลังถูกเผาผลาญออกไปและขับของเสียออกมาในรูปเหงื่อของท่าน ปฏิกิริยาเหล่านี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ และจะหายไปเองภายใน 1 สัปดาห์เมื่อใช้อย่างต่อเนื่องติดต่อกัน
- ในระยะ 2 สัปดาห์แรกของการใช้ บางท่านอาจมีลมในกระเพาะอาหาร หรือเกิดการระบาย ซึ่งเป็นผลมาจาก ร่างกายกำลังปรับระบบการทำงาน และขับของเสียเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการเผาผลาญไขมัน เมื่อท่านใช้อย่างต่อเนื่อง อาการเหล่านี้จะหายไปเองภายในสัปดาห์ที่ 3
- หากท่านมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ควบคู่ไปกับการใช้ผลิตภัณฑ์ฯด้วย
- สำคัญที่สุด ท่านควรดื่มน้ำจำนวน 10-12 แก้วต่อวัน เพื่อให้ร่างกายขับไขมัน และของเสียสะสมออกจากร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ
ภาวะผู้นำ ตอนที่ 9
..ภาวะผู้นำ ตอนที่ 9...
...การเตรียมตัว (การพัฒนา) + ทัศคติ + โอกาส + การกระทำ (ลงมือทำอะไรบางอย่าง)+ = โชค...
...ทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวเรา แต่ต้องอาศัยเวลา...
..."คุณเปลี่ยนจุดหมายของตัวเองไม่ได้ในชั่วข้ามคืน แต่เปลี่ยนทิศทางได้ในชั่วข้ามคืน"...
...ลองหันมาพัฒนาตัวเองอย่างตั้งใจ...
...1.ตั้งคำถามสำคัญเสียตอนนี้เลย...
...ถามว่า...
...ในชีวิตนี้ เราอยากจะไปอยู่ ณ จุดไหน...
...อยากจะเดินหน้าไปในทิศทางไหน...
...จินตนาการว่าตัวเองจะก้าวไปได้ไกลสุดแค่ไหน...
...การตอบคำถามตัวเองนี้ จะช่วยให้ได้เริ่มต้นการเดินทางแห่งการพัฒนา ให้ทุ่มเทไปที่ตัวเราเอง ทำให้ตัวเองดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะยิ่งทำ ศักยภาพก็ยิ่งเพิ่มขึ้น และควรเดินหน้าต่อไปเรื่อย ๆ จนก้าวไปถึงศักยภาพสูงสุดของตัวเอง...
...2.ลงมือทำเดี๋ยวนี้...
...เรื่องอันตรายที่สุดที่แต่ละคนเผชิญอยู่ตอนนี้ คือแนวคิดที่ว่า "ไว้วันหลังค่อย ทำให้การพัฒนาอย่างตั้งใจเป็นเรื่องสำคัญ"...
...เช่น...
...ไว้วันหลัง ฉันจะมีเวลาเขียนหนังสือที่คิดไว้ในใจมา 5 ปีแล้ว...
...ฉันรู้ว่าจะต้องแก้ปัญหาการเงิน แต่เอาไว้ฉันจะทำวันหลัง...
...จงอย่าติดกับดักของ "วันหลัง"...
...คำว่า "ไว้วันหลัง" เป็นหนึ่งในฆาตกรสังหารความฝัน เป็นหนึ่งในอุปสรรคนับไม่ถ้วนที่เราสร้างมาเบี่ยงเบนตัวเองออกจากโอกาสแห่งความสำเร็จ...
...การไล่ตามความฝันที่เริ่มต้นด้วยคำว่า "ไว้สักวันหนึ่ง" บวกกับสิ่งกีดขวางอื่น ๆ และบังคับให้ดำเนินชีวิตไปแบบอัตโนมัติ โดยไม่ต้องคิดอะไร...
...ทำไมถึงทำแบบนี้กับตัวเอง ทำไมไม่ลงมือทำเสียตอนนี้ ยอมรับเถอะว่าการทำอะไรที่คุ้นเคยเป็นเรื่องง่าย ส่วนเส้นทางแปลกใหม่ที่ไม่รู้จักนั้น มันย่อมเรียงรายไปด้วยความไม่แน่นอน...
...3.เผชิญหน้ากับความกลัว...
...ความกลัวที่ปิดกั้นไม่ให้ผู้คนประสบความสำเร็จมีปัจจัย 5 ประการที่มีบทบาทในเรื่องนี้...
...1.กลัวความล้มเหลว...
...2.กลัวสูญเสียความมั่นคงปลอดภัย เพื่อแลกกับสิ่งที่ไม่รู้จัก...
...3.กลัวการใช้จ่ายเงินเกินตัว...
...4.กลัวคำพูดหรือความคิดของคนอื่น...
...5.กลัวว่าความสำเร็จจะทำให้แปลกแยกจากเพื่อนฝูง...
...ความกลัวแปลกแยกจากเพื่อนฝูง จะมีผลกระทบมากที่สุด เพราะธรรมชาติของคน มักชอบให้คนอื่นพอใจ และอยากให้ทุกคนชอบ...
...แต่จริง ๆ แล้วไม่ว่าความกลัวรูปแบบไหนจะ มีผลกระทบต่อตัวเราแค่ไหน มันก็ไม่สำคัญ เพราะเราทุกคนล้วนมีความกลัวกันทั้งนั้น...
...แต่ข่าวดี คือ ทุกคนล้วนมีศรัทธา เราต้องถามตัวเองว่า "ฉันจะปล่อยให้อารมณ์แบบไหนแข็งแกร่งกว่ากัน"...
...คำตอบนี้สำคัญมาก เพราะอารมณ์ที่แข็งแกร่งกว่าย่อมเป็นฝ่ายชนะ ผมอยากกระตุ้นให้เราหล่อเลี้ยงศรัทธา และขจัดความกลัวของเราทิ้งไป...
...4.เปลี่ยนการพัฒนาโดยบังเอิญ เป็นการพัฒนาอย่างมีเจตจำนง...
...คนเรามีแนวโน้มจะใช้ชีวิตจำเจน่าเบื่อ หาความสนุกแบบง่าย ๆ และไม่พยายามหาทางหนีจากสถานการณ์แบบนี้ (ทั้งที่มันกำลังพาพวกเขาไปในทิศทางที่ผิด)...
...พอผ่านไปสักระยะ คนเหล่านี้ก็แค่อยู่ไปวัน ๆ และถ้าได้เรียนรู้อะไรบ้าง ก็เป็นเพราะความบังเอิญเท่านั้น...
...อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นแบบนี้เลย หากที่ผ่านมาเราสร้างทัศนคติแบบนี้ ขอให้จำว่า ความจำเจกับหลุมศพไม่น่าพิสมัยพอ ๆ กัน...
...หากจะมีชีวิตอยู่อย่างจำเจไปนาน ๆ สู้ตายไปเลยจะดีกว่า...
...ปรัชญาการดำเนินชีวิตของบุคคลหนึ่ง ไม่อาจถ่ายทอดออกมาได้ดีที่สุดทางคำพูด แต่จะแสดงออกมาในสิ่งที่บุคคลนั้นตัดสินใจเลือกในระยะยาว...
...เราคือผู้สร้างชีวิตของเรา และเราคือผู้สร้างตัวเราเอง กระบวนการนี้ดำเนินต่อไปจนเราตาย และสิ่งที่เราตัดสินใจเลือกนั้น นั่นคือ ความรับผิดชอบสูงสุดของเราเอง...
...หากอยากไปถึงศักยภาพสูงสุดของตัวเอง และเป็นบุคคลในแบบที่ถูกลิขิตมา ต้องทำมากกว่าแค่ใช้ชีวิตไปเฉย ๆ แล้วหวังว่าจะมีโอกาสได้เรียนรู้เรื่องที่จำเป็น...
...ต้องพยายามคว้าโอกาสที่จะพัฒนาตัวเอง ให้เหมือนราวกับว่าอนาคตของเราขึ้นอยู่กับเรื่องนี้ เพราะอะไร...
...เพราะอนาคตของเราขึ้นอยู่กับเรื่องนี้จริง ๆ...
...การพัฒนาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญสำหรับผม ไม่ใช่เรื่องบังเอิญสำหรับคุณ และไม่ใช่เรื่องบังเอิญสำหรับใครทั้งนั้น เราต้องไล่ล่าไขว่คว้าเอาเองครับ...
...ถ้าอยากประสบความสำเร็จก็ต้องทำเรื่องที่จำเป็น เช่น ตื่นเช้าขึ้นวันละชั่วโมง อยู่ดึกขึ้นอีกวันละชั่วโมง เลิกหยุดช่วงพักเที่ยง ทำงานเพิ่มขึ้นในวันเสาร์-อาทิตย์ หากไม่ทำ ก็เตรียมตัวทิ้งความใฝ่ฝันและความหวังใด ๆ ที่จะก้าวไปสู่ศักยภาพสูงสุดของตัวเองเสียเถอะ...
...เริ่มตอนนี้เลย เริ่มเลย อย่าช้า ให้สัญญากับตัวเองไว้เลย...
...สรุปว่า พัฒนาการเเปลี่ยนแปลงจากดักแด้ไปเป็นผีเสื้อ ในมิติต่าง ๆ จึงเริ่มต้นที่การพัฒนาการเปลี่ยนแปลงตัวเองจากจุดที่เรายืนอยู่ปัจจุบันไปสู่จุดที่เราต้องการ...
...การเริ่มต้นพัฒนาภาวะผู้นำของเราก่อน จาก Level 1 ไปสู่ Leve 5 จึงเป็นแนวทางที่จะสร้างพลังเหวี่ยงให้ทีมงานทุกคนได้พัฒนาไปพร้อม ๆ กัน และสร้างเป็นทีมที่มีพลังอย่างไร้ขีดจำกัด...
...สมาชิกทุกคนเปรียบเหมือนนักดนตรีในวงซิมโฟนี่วงใหญ่ แต่ละคนต่างก็เล่นดนตรีไปคนละชิ้น เล่นกันคนละคีย์ แต่ว่าทุกคนเล่นตามผู้นำวง คือ Conductor...
...แต่ละคนต่างทำหน้าที่ เมื่อทุกคนเล่นไปตาม Conductor ไม่ออกนอกลู่นอกทาง เสียงดนตรีออกมาจึงไพเราะ...
...เมื่อสมาชิกทุกท่านต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ในองค์กร แต่เราทุกคนถูกกำกับด้วย PENDURA DNA ไปในทิศทางที่เป็นแนวทางเดียวกับบริษัท ทีมจึงก่อเกิดพลัง (Powerlization) ได้อย่างไร้ขีดจำกัด...
...จากดักแด้ สู่ ผีเสื้อ โดยพัฒนาการเปลี่ยนแปลงภาวะผู้นำจาก Position สู่ Pinnacle สมาชิกทุกคนในทีมกำกับด้วย PENDURA DNA นี่จึงเป็นคำตอบสุดท้ายที่จะประกันอิสรภาพที่แท้จริง...
..."As lond as you are going to be thinking anyway,think big."...Donald Trump...
..."ไหน ๆ เราก็ต้องคิดอยู่แล้ว คิดให้ใหญ่ไว้ดีกว่า"...
..."Nobody can guarantee that you'll succeed...
...Of course,"Nobody can guarantee that you'll fail...
...But once in your life,try something,work hard at something...
...Try to change,nothing bad can happen."...Jack Ma...
...ไม่มีใครรับประกันได้หรอกว่าคุณจะประสบความสำเร็จ...
...และแน่นอนว่า ไม่มีใครรับประกันได้เช่นกันว่า คุณจะล้มเหลว...
...เพราะฉะนั้น สักครั้งหนึ่งในชีวิต ลองทำอะไรสักอย่างดู ทุ่มเทกับมันอย่างสุดชีวิต...
...พยายามที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง คงไม่มีอะไรเลวร้ายเกินกว่าจะรับมือ...
...ติดตามในตอนที่ 10 ...
ขอบคุณบทความดีๆจาก
นพ.ไมตรี พิชญังกูร
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558
ทำไมคอลลาเจนจากปลาแซลมอนสายพันธุ์แอตแลนติก จึงเหนือจากคอลลาเจนทั่วไป?
ทำไมคอลลาเจนจากปลาแซลมอนสายพันธุ์แอตแลนติก จึงเหนือจากคอลลาเจนทั่วไป?
คอลลาเจนทั่วไป | คอลลาเจนจากปลาแซลมอนแอดแลนติก |
|
|
*กรดอะมิโนมาตรฐานมีทั้งหมด 20 ชนิด แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
- กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย (Essential amino acid) หมายถึง กรดอะมิโนที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นมาเองได้จากอาหาร มีทั้ง 8 ชนิด คือ ไอโซลิวซีน (Isoleucine), ลิวซีน (Leucine), ไลซีน (Lysine), เมโทไอนีน (Methionine), ฟีนัลอะลานีน (Phenylalanine), ทรีโอนีน (Threonine), วาลีน (Valine) และทริปโตเฟน (Tryptophan)
- กรดอะมิโนที่ไม่จำเป็นต่อร่างกาย (Non-Essential amino acid) หมายถึง กรดอะมิโนที่ร่างกายสามารถสังเคาระห์ขึ้นมาได้จากอาหารที่กินเข้าไป มีทั้งหมด 12 ชนิด คือ ฮีสทีดิน (Histidline), อะละนีน (Alanine), อาร์จีนีน (Argenine), แอสพาราจีน (Asparagine), กรดแอสปาร์ติก (Aspartic acid), ซีสเทอีน (Cystein), กรดกลูตามิก (Glutaic acid), กลูตามีน (Glutamine), ไกลซีน (Glycine), โพรลีน (Proline), ซีรีน (Serine) และไทโรซีน (Thyrosine)
วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558
ภาวะผู้นำ ตอนที่ 8
.ภาวะผู้นำ ตอนที่ 8...
...6.คนส่วนมากมีความรู้สึกว่า "ไม่อยากทำ ไม่มีแรงบันดาลใจ"...
...ตอนที่ผมรู้ตัวว่า ผมจะต้องเริ่มต้นพัฒนาตนเอง ผมมีเหตุผลเป็นพัน ๆ อย่างที่จะไม่ทำ เช่น ผมไม่มีเวลา, ไม่มีประสบการณ์, ทุกวันนี้ก็อยู่สบายแล้ว ไปหาเรื่องให้เหนื่อยทำไม และอื่น ๆ อีกมากมาย ฯลฯ...
...แต่มีเพียงเหตุผลเดียวที่ต้องทำ นั่นคือ ผมเชื่อว่า ควรทำ...
...และผมก็เริ่มลงมือทำ ฝึกและตั้งใจแน่วแน่พัฒนาตัวเองในทั้ง 4 มิติ...
...แต่ก็ต้องประหลาดใจ เมื่อมุ่งมั่นพัฒนาไปได้สักระยะหนึ่ง ผมเริ่มแซงฮีโร่ของผมบางคน และก็เปลี่ยนจาก "การเริ่มต้น" เป็น "การทำต่อไป"...
...หากเรายังไม่ลงมือทำ (เช่น อ่านหนังสือ ออกกำลังกาย การควบคุมอารมณ์) เราจะมีความรู้สึกว่า ไม่มีแรงบันดาลใจ แต่เมื่อเราทำไปได้สักระยะหนึ่ง ความรู้สึกจะเปลี่ยนไป...
...แรงจูงใจไม่ได้วิ่งเข้ามาหาเราเหมือนสายฟ้า และมันไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นจะมอบให้หรือบังคับเราได้ แรงจูงใจจึงเป็นกับดัก ฉะนั้น จงลืมเรื่องแรงจูงใจ แล้วลงมือทำเลย...
...เมื่อคิดจะลดน้ำหนัก ก็จงเริ่มลงมือทำ คนส่วนมากรอให้มีแรงจูงใจค่อยลด จึงลดไม่ได้สักที...
...เมื่อคิดจะออกกำลังกาย ก็จงลุกขึ้นมา คนส่วนมากรอให้มีแรงจูงใจค่อยทำ จึงมีแต่คนนอนจนพุงอึด...
...เมื่อคิดจะพัฒนาตนเอง จงเริ่มขณะนี้ โดยไม่มีข้ออ้างใด ๆ...
...7.คนส่วนมากติดที่อีโก้ตัวเอง กลัวเสียฟอร์มว่า "คนอื่นเก่งกว่าฉัน"...
...ท่านเชื่อเถอะครับ คนที่มีภาวะผู้นำที่สูงกว่าเราส่วนใหญ่ คนที่เก่งกว่าเราในเรื่องต่าง ๆ คนเหล่านี้เต็มใจที่จะแบ่งปัน เราจะได้เรียนรู้ก็ต่อเมื่อได้อยู่กับคนที่เหนือกว่า...
...เราต้องเรียนรู้ที่จะสบายใจเมื่อต้องทำเรื่องที่ตัวเองไม่ค่อยถนัด นี่เป็นช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ยากที่สุด แต่ก็คุ้ม...
...คนที่มีอีโก้จัด จึงยากที่จะพัฒนาตัวเอง...
...8.คนส่วนมากคาดหวังว่า "มันน่าจะง่ายกว่านี้"...
...ไม่มีคนประสบความสำเร็จคนไหนที่คิดว่า การพัฒนาตัวเองเป็นสิ่งที่ทำได้รวดเร็ว และการปีนขึ้นไปข้างบนสุดเป็นเรื่องง่าย...
...เพราะการพัฒนาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ คนเราต้องกำหนดโชคชะตาของตัวเอง ดังสูตรนี้...
...การเตรียมตัว (การพัฒนา) + ทัศคติ + โอกาส + การกระทำ (ลงมือทำอะไรบางอย่าง)+ = โชค...
...ทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวเรา แต่ต้องอาศัยเวลา...
..."คุณเปลี่ยนจุดหมายของตัวเองไม่ได้ในชั่วข้ามคืน แต่เปลี่ยนทิศทางได้ในชั่วข้ามคืน"...
...ติดตามในตอนที่ 9 ครับ...
ขอบคุณบทความดีๆจาก
นพ.ไมตรี พิชญังกูร
วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2558
ภาวะผู้นำ ตอนที่ 7
...ภาวะผู้นำ ตอนที่ 7.
...แต่ว่า สิ่งที่ผมเจอในขณะนี้ และเชื่อว่า พวกเราก็คงเจอเหมือน ๆ ผม ในขณะที่เรายังไปไม่ถึงจุดสูงสุด คือ...
...จะมีคนเฝ้าดูเราอย่างละเอียดลออ และคนแต่ละกลุ่มแต่ละคนก็คาดหวังกับเราไปต่าง ๆ นา ๆ...
...กลุ่มที่ 1.คาดหวังว่า ผมจะประสบความสำเร็จ...
...กลุ่มที่ 2.คาดหวังว่า ผมจะล้มเหลว...
...กลุ่มที่ 3.เฉย ๆ ไม่ได้คาดหวังอะไรจากเรา...
...ผมเชื่อว่า พวกเราหลายคนก็เป็นเหมือนผม...
...ผมรู้ดีว่า ถ้าผมไม่พัฒนาตัวเองจนเป็นผู้นำที่ดีขึ้น ผมคงล้มเหลว...
...เรื่องนี้เลยกระตุ้นให้ผมลงมือทำ และพัฒนาตัวเองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้...
...ตอนนี้ ไม่ว่าท่านจะมีแรงกระตุ้นหรือไม่ ผมว่า มันถึงเวลาที่จะต้องเริ่มพัฒนาแล้วครับ...
..."ชีวิตที่อยู่เพื่อวันพรุ่งนี้ จะห่างจากความเป็นจริงไปหนึ่งวัน"...
...ความจริงคือ...
...ถ้าหากไม่เดินหน้าลงมือทำสิ่งต่าง ๆ เสียตั้งแต่เรายังไม่พร้อม เราจะไม่มีทางทำงานสำเร็จได้มากมายหลายชิ้นเลย...
...ถ้าหากตอนนี้ คุณยังไม่ได้ตั้งใจจะพัฒนาตนเอง ก็ต้องเริ่มเสียตั้งแต่วันนี้ ...
...จริงอยู่ ถ้าเราไม่ทำแบบนั้น ก็อาจทำเป้าหมายบางอย่างได้สำเร็จ แต่สุดท้ายก็อาจจะต้องย่ำอยู่กับที่ ฉะนั้น ทันทีที่เริ่มตั้งใจพัฒนาตนเอง เราจะพัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อย ๆ อยู่แล้ว...
...4.คนส่วนมากมีความกลัวว่าจะทำพลาด...
...แน่นอนว่า เราไม่รู้คำตอบ เราไม่รู้วิธีแก้ปัญหา อีกทั้งต้องทำผิดพลาดบ้าง ซึ่งอาจทำให้ดูเหมือนคนโง่เขลา คนส่วนใหญ่ไม่ชอบเรื่องแบบนี้ กลัวเสียหน้า...
...แต่ถ้าอยากปรับปรุงให้ดีขึ้น อยากพัฒนาตัวเอง เราต้องเอาชนะความกลัวให้ได้ว่าตัวเองอาจจะต้องทำอะไรผิดพลาดบ้าง...
...ความผิดพลาด เป็นเพียงแค่วิธีหนึ่งของการทำสิ่งต่าง ๆ แค่นั้นเอง...
......5.คนส่วนมากมีความเชื่อว่า "ฉันจะเริ่มทำอะไร ก็ต้องหาวิธีที่ดีที่สุดเสียก่อน"...
...นี่ก็คล้าย ๆ กับเรื่องของความผิดพลาด เป็นช่องว่างของเรื่อง "ความสมบูรณ์แบบ"...
...ถ้าเราหา "วิธีที่ดีที่สุด" แล้วค่อยเริ่มต้นลงมือทำตามแผนพัฒนา มันจะเป็นการย้อนขั้นตอน นั่นคือ ถ้าอยากได้วิธีที่ดีที่สุด ก็ต้องเริ่มลงมือทำ...
...เปรียบเทียบให้เห็น ดังนี้ครับ...
...คืนนี้ดึก ๆ จะต้องขับรถไปตามเส้นทางที่มืดและเป็นเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ไม่เคยไปเลย ไม่มีไฟฟ้าด้วย...
...ซึ่งจะดีที่สุดถ้าได้เห็นเส้นทางทั้งหมดก่อนเริ่มต้น แต่ในความเป็นจริง เราจะค่อย ๆ เห็นทาง เพราะเมื่อขับรถไปข้างหน้า ถนนจะค่อย ๆ ปรากฏขึ้น แล้วถ้าอยากเห็นมากขึ้น ก็ต้องขับต่อไป...
...ทุกท่านครับ...
...เริ่มสิครับ วินาทีนี้ คืนนี้เริ่มเลยครับ...
...ก่อนนอนคืนนี้ หยิบหนังสือที่แนะนำไปมาอ่าน นี่คือ การเริ่มแล้วครับ...
...สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ต้องตัดใจให้ได้ว่า "จะต้องทำเดี๋ยวนี้"...
...ติดตามในตอนที่ 8
ขอบคุณบทความดีๆจาก
นพ.ไมตรี พิชญังกูร
ภาวะผู้นำ ตอนที่ 6
...ภาวะผู้นำ ตอนที่ 6...
...จากดักแด้ สู่ ผีเสื้อของผม จึงเป็นการเลิกจากความเคยชินเก่า ๆ ที่มีความสะดวกสบายในวงการแพทย์ มาสู่วงการที่ตัวเองไม่คุ้นเคย คือ วงการธุรกิจ...
...ผมเต็มใจละทิ้งสิ่งที่ตัวเองคุ้นเคย ปลอดภัย และมั่นคง ไม่มีข้ออ้างใด ๆ เลย แล้วผลักตัวเองเต็มที่ในการพัฒนาตัวเองสู่ศักยภาพสูงสุดในการเป็นผู้นำ...
...ด้วยเป้าหมายการพัฒนาภาวะผู้นำสู่ระดับ Pinnacle...
...จากดักแด้ สู่ ผีเสื้อของผม จึงเป็นการพัฒนาในมิติของ "ภาวะผู้นำ" จากระดับ Position สู่ "ภาวะผู้นำ" ระดับ Pinnacle...
...ดังที่ได้บรรยายไปเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2558...
...เสียเวลากับการลองผิดลองถูกมาเป็นปี โดยไม่มีอะไรคืบหน้าเลย...
...ในตอนนั้น คำถามที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผม คือ "มีแผนในการพัฒนาตัวเองอย่างไร"...
...เพราะก่อนหน้านั้น เราเชื่อว่า ใครก็ตามที่ทุ่มเทการทำงานอย่างหนัก ก็จะประสบความสำเร็จเอง...
...แต่ในความเป็นจริง คือ หัวใจสำคัญอยู่ที่การพัฒนาตนเองต่างหาก...
...หากเรามุ่งมั่นไปที่เป้าหมาย เราอาจจะทำเป้าหมายต่าง ๆ ให้ลุล่วงไปได้ แต่วิธีนี้ไม่ได้ประกันในเรื่องของการพัฒนา แต่ถ้ามุ่งเน้นไปที่เรื่องการพัฒนา เราจะได้ทั้งการพัฒนา แถมเป้าหมายก็ลุล่วงอีกด้วย...
...คนส่วนมากร้อนรนในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเอง แต่กลับไม่เต็มใจพัฒนาตัวเอง ด้วยเหตุนี้ จึงคงไม่เป็นอิสระอยู่ต่อไป...
...สิ่งที่คิดต่อไปและมองเห็น คือ ผมมองเห็นจุดที่ตัวเองยืนอยู่กับจุดที่ตัวเองอยากจะไป และเป็นจุดที่ผมต้องไป นี่คือ ช่องว่างแห่งการพัฒนา และผมต้องคิดให้ออกว่า ผมจะลดช่องว่างนี้ลงได้อย่างไร...
...ถ้าหากเรามีความใฝ่ฝัน มีเป้าหมาย หรือความทะเยอทะยาน เราจะต้องพัฒนาตัวเองเพื่อทำเรื่องเหล่านั้นให้สำเร็จ...
...คนส่วนมากมีความเชื่อที่ผิด ๆ ซึ่งเป็นสิ่งกีดขวางไม่ให้คุณพัฒนาและก้าวไปถึงศักยภาพสูงสุดของตัวเอง...
...1.คนส่วนมากคิดเอาเองว่า "ฉันคิดว่าตัวเองจะพัฒนาไปได้โดยอัตโนมัติ"...
...ผมเชือว่า ผู้คนส่วนมากมีความเชื่อในจิตใต้สำนึกไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ว่า การพัฒนาด้านจิตใจ จิตวิญญาณ และอารมณ์ จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติเหมือนกับการพัฒนาทางร่างกาย...
...การใช้ชีวิตไปแบบเรื่อย ๆ ไม่ได้ช่วยให้เราพัฒนาขึ้น เราต้องมีความตั้งใจจะทำเรื่องนี้จริง ๆ...
...2.คนส่วนมากไม่รู้ว่า"จะพัฒนาตัวเองอย่างไร"...
...ไม่ใช่ผมคนเดียวเท่านั้น บรรดาคนที่ผมรู้จัก ไม่เคยมีใครมีแผนพัฒนาตัวเองเลย เพราะคนทั่วไป ไม่รู้ว่าจะพัฒนาตัวเองอย่างไร...
...กว่าเราจะเรียนรู้ได้ ต้องเจอกับบทเรียนที่เจ็บปวด แม้ประสบการณ์ที่เลวร้ายจะสอนบทเรียนให้ แต่เราก็ต้องเรียนรู้อย่างเจ็บปวด แล้วจึงจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้...
...บางครั้งเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แต่บางครั้งก็เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง บทเรียนแต่ละครั้งเกิดขึ้นไม่แน่นอนและยาก เพราะฉะนั้น การวางแผนการพัฒนาตัวเองจึงเป็นวิธีที่ดีกว่า...
...จุดเริ่มต้นของการพัฒนา คือ การตัดสินใจที่จะพัฒนาตัวเอง แล้วผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตก็จะตามมา แน่นอน...
...3.คนส่วนมากมีข้ออ้างว่า "นี่ไม่ใช่เวลาที่เหมะสมกับการเริ่มต้น"...
...ผมขอถามพวกเรานะครับ ดังนี้นะครับ...
...มีนกอยู่ 5 ตัว เกาะอยู่บนกิ่งไม้ มีนก 4 ตัวตัดสินใจบินหนี ถามว่าจะเหลือนกอยู่บนกิ่งไม้กี่ตัว...
...กี่ตัวครับ...
...ผมเคยถามคำถามนี้บ่อย ส่วนมากก็ตอบว่า เหลือ 1 ตัว...
...จริง ๆ แล้ว เหลือ 5 ตัว เพราะการตัดสินใจกับการลงมือทำจริง ๆ มันต่างกัน...
...แค่ตัดสินใจจะทำ แต่ไม่ลงมือทำ ย่อมไม่มีผลใด ๆ เกิดขึ้น...
...โลกนี้จะมีความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่สักเพียงใด หากทุกคนได้ทำสิ่งที่ตั้งใจจะทำ...
...คนส่วนใหญ่ลงมือทำช้ากว่าที่ควร และมักเป็นไปตามกฏที่ว่า "ยิ่งมัวรอคอยจะทำสิ่งที่ควรทำตอนนี้ ก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นที่จะไม่มีวันได้ลงมือทำ"...
...ติดตามในตอนที่ 7 ครับ...
ขอบคุณบทความจาก
นพ.ไมตรี พิชญังกูร
วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)