วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558




Platform ใหม่...ของชีวิต



ความจริงที่มันเกิดขึ้นในวันนี้ก็คือ...โลกมันเปลี่ยนไป...เขาเรียกว่า...Platform ของโลกมันเปลี่ยนใหม่...ถ้าเราจะตามโลกให้ทัน...Platform คือรูปแบบ...เราก็ต้องเปลี่ยน Platform ตาม...สิ่งที่คุณจะได้คือ...Platform ใหม่ของชีวิต...ทีนี้...เราลองมาไล่เรียงดูรายละเอียดแต่ละข้อครับ...ว่ามีอะไรบ้าง…



Platform ใหม่ของชีวิต...

1. เราต้องมีกระบวนทัศน์ใหม่...วิธีคิดแบบใหม่...กล้าแตกต่าง...กล้าย้อนศร...วิสัยทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงโลกได้...



การมีวิสัยทัศน์...สำคัญมากที่สุด...ต่อความสำเร็จของคนยุคนี้...เราต้องอยู่...อย่างมีวิสัยทัศน์...เราต้องดูว่า...อะไรจะเกิดขึ้น...ในอีก 5 ปี...10 ปีข้างหน้า...



เพื่อเราจะได้...ไม่ตกเป็นเหยื่อของธุรกิจแฟชั่น...ไม่อยากล้มเหลวในการทำธุรกิจ...ไม่อยากตกเป็นเหยื่อของธุรกิจแฟชั่น...เราต้องแยกให้ออกว่า...อันไหนมัน...ธุรกิจวิชั่น...อันไหนมันธุรกิจแฟชั่น...เราต้องมองให้ออกว่า...



ธุรกิจวิชั่น...กับธุรกิจแฟชั่น...มันต่างกันยังไง...? อะไรคือวิชั่น...อะไรคือแฟชั่น...? ตู้สติ๊กเกอร์...แฟชั่น...ชานมไข่มุก...แฟชั่น...พวกนี้คือ...ธุรกิจแฟชั่น...มาแป๊บๆ แล้วก็หายไป...



อะไรคือวิชั่น...อะไรคือแฟชั่น...? ชาเขียว...อยู่ยั่งยืนกว่า...ชานมไข่มุก...ยืนอยู่ในตลาดได้นานกว่า...เพราะมันคือ...ธุรกิจวิชั่น...ธุรกิจแฟชั่นอยู่ได้...เฉพาะเจ้าใหญ่ๆ ไม่กี่เจ้า...คนรักษาสุขภาพมากขึ้น...ดื่มน้ำอัดลมกันน้อยลง...หันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น...กินอาหารเสริม...กินอาหารเกี่ยวกับสุขภาพมากขึ้น...สินค้าที่เกี่ยวกับสุขภาพ...คือธุรกิจ...วิชั่น...



สินค้าตัวไหนที่อยู่ได้นานกว่า...เป็นธุรกิจ...วิชั่น...ไม่ใช่ตามกระแส...ธุรกิจแฟชั่น...จะเห่อแป๊บเดียว...เดี๋ยวก็เลิก...หลายอย่างที่เคยฮิต...ตอนนี้ไปไหนแล้วก็ไม่รู้...ต้องเลือกลงทุนธุรกิจวิชั่น...มันจะยืนยาว...มั่นคง...ประสบความสำเร็จ...ร่ำรวย...



ถ้าเผลอไปลงทุนธุรกิจแฟชั่น...หวือหวาไปตามกระแส...เห่อตามเพื่อน...วูบเดียวหาย...หมายถึง...เงินลงทุน...เดี๋ยวเดียวเกลี้ยง...เจ๊งภายในพริบตา...นี่คือแฟชั่น...วิชั่น...เราต้องมีประสิทธิภาพในการแยกแยะสิ่งเหล่านี้ให้ออก...





Platform ใหม่ของชีวิต...

2. เราต้องเข้าใจตัวเอง...และเปรียบเทียบกับโลกข้างนอกได้...รู้ความต้องการของตัวเอง...และมีแรงบันดาลใจยิ่งใหญ่...มากกว่าคนปกติ...



วันนี้...เป็นยุคที่เราไม่สามารถเปรียบเทียบตัวเราเอง...กับเพื่อนข้างๆ ในออฟฟิศ...เราไม่สามารถเปรียบเทียบตัวเราเองกับเพื่อนข้างๆ ในคณะที่เรียน...ได้อีกแล้ว...เพราะอะไรครับ...? เพราะทันทีที่คุณจบมา...คุณไม่ได้แข่งขัน...กับคนเหล่านี้แล้ว...แต่คุณต้องแข่งกับ...คนทั้งโลกแล้ว...



เดี๋ยวนี้มีการ Outsource มากมาย...จ้างแรงงาน...ช่างเทคนิค...นักการตลาด...และมือบริหารเก่งๆ มาจากต่างประเทศเยอะแยะ...Outsource จากอินเดีย...Outsource จากฟิลิปปินส์...คนพวกนี้...พูดภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เกิด...มีศักยภาพในการสื่อสารมากกว่าเรา...



แสดงว่าคุณจบมหาวิทยาลัยมา...ต่อให้คุณได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง...จบเกรด 3.98...4.00...คุณจบมาปุ๊บ...คุณไม่ได้แข่งกับเพื่อนคุณในรุ่นเดียวกันหรอกครับ...แต่คุณต้องแข่งกับรุ่นพี่...ที่ตกงาน...ที่จบมาตั้งแต่ปีที่แล้ว...แต่ยังหางานทำไม่ได้...หรือรุ่นพี่ที่จบมาเมื่อหลายปีก่อน...แล้วไปเรียนต่ออเมริกากลับมาเรียบร้อยแล้ว...



ต้องแข่งกับคนเก่าในองค์กร...ที่หวังจะเลื่อนมาอยู่ตำแหน่งเดียวกับที่คุณสมัคร...แข่งกับคนเวียดนามที่ขยันมากๆ...แข่งกับคนอินเดีย...คนฟิลิปปินส์ที่พื้นฐานภาษาอังกฤษดีกว่าเรา...เพราะฉะนั้นวันนี้...เราต้องเข้าใจตัวเอง...เปรียบเทียบกับ...โลกข้างนอก...ไม่ใช่เปรียบเทียบแค่...ในห้องเรียน...ในออฟฟิศ...ในคอก...



แค่นั้นมันไม่พอแล้ว...สำหรับการต่อสู้ในยุคนี้...



Platform ใหม่ของชีวิต...

3. ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อม...สำหรับ Trend ที่จะเปลี่ยนแปลง...ทุกคน...แบบฟ้าถล่มดินทลาย...



Trend คือ...สิ่งที่ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับมัน...มันก็จะเป็นไปตามนั้น...ทุกวันนี้เราไปเดินห้าง...จะเห็นแต่...คลินิกลดความอ้วน...ดึงหน้า...เสริมคาง...รักษาสิวเต็มไปหมด...เพราะมันคือยุคของ Wellness...คือ...การปฏิวัติอุตสาหกรรมความงาม...และสุขภาพ...เราจะเห็น California WOW...!!! Fitness First...คน...จะรักษาสุขภาพกันมากขึ้น...



เพราะครอบครัว...มีขนาดเล็กลง...แต่ก่อนพ่อแม่มีลูกนับสิบคน...ครอบครัวใหญ่มาก...กว่าจะส่งลูกเรียนจบ...จนกรอบเป็นข้าวเกรียบ...เผลอๆ ลูกคนเล็กยังเรียนไม่จบเลย...พ่อแม่ตายแล้ว...ปัจจุบัน...ครอบครัวมีขนาดเล็กลงมาก...มีลูกกันแค่คนเดียวสองคน...พอเลี้ยงลูกจบปุ๊บ...ก็มีเวลาดูแลตัวเอง...ดูแลสุขภาพ...ดูแลความงาม...นี่คือยุคของ...Wellness...



เพราะฉะนั้นจะเห็นเลยว่า...ทุกอย่างเป็นไปตามยุค...เป็นไปตาม Trend ทั้งนั้นเลย...กระแสที่เกิดขึ้นทุกวันนี้...เราเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้...

ที่มา....ชี้ช่องรวย.com

วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2558

6 พฤติกรรมคนรุ่นใหม่ C-Generation






6 พฤติกรรมคนรุ่นใหม่ C-Generation ทุกวันนี้เราจะเห็นการตื่นตัวกับ Generation Y หรือ กลุ่มคนที่เกิดในปี พ.ศ. 2523-2540 ซึ่งกำลังกลายมาเป็นกลุ่มตลาดขนาดใหญ่ในปัจจุบันเพื่อออกแบบสินค้าและบริการให้เหมาะสมและดึงดูดคนกลุ่มนี้




The generation Y เป็นผู้ที่เติบโตในยุคที่เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตเจริญรุดหน้า คนกลุ่มนี้จุงชอบงานด้านไอที มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถทำอะไรหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน เป้นคนมองโลกในแง่ดี ไม่ค่อยมีความอดทน


แต่ ณ ขณะนี้สิ่งที่นักการตลาดหลายๆ คนโดยเฉพาะนักการตลาดดิจิทัลเองให้ความสนใจมากกว่าคือกลุ่มที่เรียกว่า Generation C หรือ Generation Connected นั่นเอง






Generation C คืออะไร



การเกิดของ Gen C นั้นจะว่าไปแล้วถือเป็นสิ่งที่ผิดกับรูปแบบ Gen ก่อนๆ ที่เรามักวัดกันด้วยช่วงอายุเป็นสำคัญ แต่ Gen C นั้นจะเป็นการมองด้วยเรื่อง Technology & Infrastructure เป็นสำคัญและนั่นเป็นจุดเปลี่ยนของชุดความคิดแบบเดิมๆ


คน Gen C มีคุณสมบัติน่าสนใจหลายอย่าง เช่น จากการสังเกตเราจะพบว่าคนรุ่น C นี้จะมีไลฟ์สไตล์หรือการดำเนินชีวิตเร่งรีบ รีบทั้งการเดินทาง รีบทั้งเส้นทางสู่ความสำเร็จ พวกเขาจึงไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียวให้กับสิ่งไร้สาระ อย่าง การเสียเวลาบนท้องถนน การนั่งคอยรถติด หรือการทำธุรกรรมที่ต้องผ่านขั้นตอนวุ่นวายเชื่องช้า






คุณสมบัติ 6 ข้อ ของ Gen C



1. Cash Smart – ฉลาดบริหารเงิน


หากสังเกตเราจะพบว่าคนยุคเก่าศรัทธาในการทำงานหนัก อย่างคำพูดของคนจีนที่ว่า “งานหนักสร้างเศรษฐี” แต่สำหรับคนรุ่น Gen C พวกเขารู้สึกว่ามันไม่สมจริงสักเท่าไหร่ “หากงานหนักสร้างเศรษฐี ทาสควรเป็นคนที่มีสินทรัพย์มากที่สุดในโลก” ดังนั้น กลุ่ม Gen C จึงนิยมให้เงินทำงานให้เขาไม่ใช่ให้เขาทำงานให้เงิน


2. Convenience – ชีวิตสะดวกสบาย


คนยุค C ไม่นิยมเสียเวลาและอดทนกับสิ่งที่ตัวเองคิดว่าไม่จำเป็น พวกเขายอมเสียทรัพย์สินแลกกับความสะดวกสบายที่จะช่วยให้เขาออกไปหาตังค์ได้มากขึ้น ดังนั้น พวกเขาจึงไม่อดทนกับเรื่องน่ารำคาญและยอมใช้เงินอย่างชาญฉลาดเพื่อกำจัดแมลงกวนใจเหล่านั้นให้พ้นทาง พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่รู้จักใช้เทคโนโลยี เช่น แอพพลิเคชั่น โซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างความสะดวกสบายให้แก่ตัวเอง


3. Creative – สนใจรายละเอียดและงานออกแบบที่ดูดีมีสไตล์


ต้องยอมรับว่าคน Gen C เกิดในยุคที่สังคมโลกและไทยเริ่มสงบ ไม่มีการศึกสงครามมากนัก ดังนั้น พวกเขาจึงมีเวลาใส่ใจกับเรื่องศิลปะและการออกแบบที่สวยงามและทำให้ชีวิตดูสุนทรีย์มากขึ้น งานพลาสติกหยาบๆ เน้นการใช้งานไม่ได้กินเงินพวกเขาเท่าไหร่


4. Casual – ความสมดุลของการใช้ชีวิตระหว่างงานและเรื่องส่วนตัว


จากการสำรวจของกูรูด้านมาร์เกตติ้งหลายสำนัก พบว่าคนในยุคนี้โดยเฉพาะในฝั่งเอเชียมีแนวโน้มที่จะมีวัฒนธรรมการทำงานแบบ Work Hard และ Play Harder เนื่องจากอย่าลืมว่าเรากำลังอยู่ในยุคที่ axis of the world หรือ แกนของโลกได้ย้ายข้างจากโลกตะวันตกสู่โลกตะวันออก หนุ่มสาวชาวเอเชียทำงานเป็นบ้าเป็นหลังขณะที่พวกเขามีเงินมากมายที่พร้อมจะทุ่มซื้อความสะดวกสบายเพื่อสร้างสมดุลให้กับชีวิตของตัวเอง


5. Control – คน Gen C ชอบจัดการชีวิตของตัวเอง


และเริ่มไม่ปล่อยให้หัวหน้า ครอบครัว หรือแม้แต่พ่อแม่เข้าครอบงำชีวิตตัวเองมากเกินไปนัก พวกเขาอาจรับฟังความเห็นของคนอื่นแต่สุดท้ายแล้วพวกเขาตระหนักว่าการตัดสินใจทุกอย่างของเขา มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่ต้องรับผลกรรม ผิดกับรุ่นพ่อแม่ที่บางคนก็ยอมรับว่าแม้แต่การแต่งงานก็ถูกจัดให้แบบคลุมถุงชน


6. Connect – ชีวิตแบบออนไลน์


การเข้าถึงข่าวสาร การพูดคุยกับเพื่อน ข้อจำกัดเรื่องเวลาและระยะทางกลายเป็นเรื่องที่เล็กลงเรื่อยๆ ในทุกวันนี้








ภาพจาก ideo






Gen C แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม



1. Baby Gen C อายุตั้งแต่ 18 – 24 ปี


ซึ่งก็ได้แก่วัยรุ่น ช่วงมหาวิทยาลัย จนถึงชีวิตเริ่มทำงานใหม่ๆ ต้องยอมรับว่ากลุ่มคนกลุ่มนี้ยังมีกำลังซื้อตามการตัดสินใจต่อผู้ปกครองอยู่ ดังนั้น หากพวกเขาสามารถโน้มน้าวผู้ปกครองได้ การขายสินค้าและบริการให้คนกลุ่มนี้ก็ไม่ยากเลย


2. Bachelor Gen C มีช่วงอายุตั้งแต่ 25 – 34 ปี


เป็นช่วงวัยทำงานระดับพนักงานจนถึงผู้บริหารระดับกลาง การขยายตัวของช่วงอายุคนโสดนี้ทำให้มาร์เกตเตอร์ต้องมาทบทวนกลยุทธ์การขายเสียใหม่ จะเห็นว่าอายุถึง 34 เป็นช่วงเวลาที่คนเหล่านี้ยังไม่แต่งงาน! พวกเขาพร้อมจะซื้อสินค้าและทุ่มเงินให้กับความสะดวกสบายของตัวเองและยังไม่รู้สึกต้องประหยัดมากเท่ากับคนมีครอบครัวแล้ว


3. Marriage Gen C มีช่วงอายุ 35 – 44 ปี


เป็นช่วงที่มีครอบครัวและมองหาความมั่นคง การขายสินค้าและบริการสำหรับคนกลุ่มนี้ต้องมองเขาทั้งครอบครัว influencer ในกลุ่มนี้หลายครั้งจะเปลี่ยนจากพ่อบ้านกลายเป็นแม่บ้าน ขณะที่ของชิ้นใหญ่หรือราคาแพงคุณพ่อบ้านก็จะมีส่วนในการตัดสินใจมากกว่า


นักการตลาดในปัจจุบันควรจะเริ่มหันมาสนใจเรื่อง Gen C ให้มากขึ้น รวมทั้งปรับวิถีชีวิตของตัวเองให้อยู่ในแถวหน้าๆ ของ Gen C เสียแต่เนิ่นๆ เพราะเมื่อไรที่ตลาดพลิกมาสู่ Connected World แล้วนั้น หลายๆ คนอาจจะปรับตัวไม่ทันกันเอาได้










ที่มา :


marketingoops.com


nuttaputch.com


เรียงเรียง :

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ภาวะผู้นำ ตอนที่ 19



...ภาวะผู้นำ ตอนที่ 19...
...ข้อเสียในเรื่องตำแหน่ง...

...ผู้นำระดับ Position หรือตำแหน่งหน้าที่ เป็นภาวะผู้นำระดับต่ำสุด ซึ่งใครหลายคนก็อยากไปถึง แต่เชื่อเถอะ! เราไม่อยากอยู่ตรงนั้นนานนักหรอก...

...ผู้นำระดับ Position หรือตำแหน่งหน้าที่ มีข้อเสียอยู่มากมาย ซึ่งพอจะมองเห็นได้ชัดหลักๆอยู่ 8 ประการ ดังนี้...

...1.ผู้คนมักเข้าใจผิดเวลาได้รับตำแหน่งผู้นำ...

...คนเรามักคิดไปว่าสิ่งดีๆมากมายจะตามมากับตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นอำนาจ ห้องทำงาน เงินเดือน เกียรติยศ ชื่อเสียง ฯลฯ...

...หรือบางคนก็คิดไปว่าพอมีตำแหน่งก็ได้เป็นผู้นำ...

...แต่..มันเป็นความคิดที่ผิดพลาด...

...ตำแหน่งเป็นเพียงโอกาสให้ก้าวไปเป็นผู้นำต่างหาก...

...ผู้นำที่แท้จริงจะต้องทุ่มเทและแสดงฝีมือให้เห็น มันเป็นเรื่องของ"การกระทำ"...

...จำให้ขึ้นใจว่า...

...คุณลักษณะที่สำคัญที่สุดของภาวะผู้นำคือ...

..."ผู้นำต้องนำพาผู้คนของเขาไปที่ไหนสักแห่ง คนเหล่านั้นไม่หยุดนิ่ง หากไม่มีการเดินทางไปไหน ก็ไม่ต้องมีเรื่องภาวะผู้นำ"...

...แนวคิดที่ผิดพลาดที่สุดของผู้นำ คือแนวคิดที่ว่า "ทำสำเร็จแล้ว ผมได้ตำแหน่งแล้ว"...

...เพราะฉะนั้น "ภาวะผู้นำ" จึงเป็นเรื่องของการกระทำ ไม่ใช่เรื่องของตำแหน่ง...

...2.ผู้นำที่พึ่งพาตำแหน่งมักไม่เห็นคุณค่าของคนอื่น...

...คนที่อาศัยตำแหน่งหน้าที่มักให้ความสำคัญกับตำแหน่งของเขาแทบจะตลอดเวลา...

...เขาให้ความสำคัญกับตำแหน่งมากกว่างานที่เขาทำ...

...ทัศนคติแบบนี้ไม่ได้ช่วยส่งเสริมสัมพันธภาพที่ดีกับคนอื่น...

...เขามักมองทีมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างน่ารำคาญ...

...และมองว่าเป็นฟันเฟืองที่เปลี่ยนไปมาได้ในองค์กร...

...หรือแม้แต่มองว่าเป็นอุปสรรคที่สร้างปัญหาในการเลื่อนตำแหน่งของตัวเอง...

...ผลลัพธ์ก็คือ องค์กรที่มีผู้นำแบบนี้ ย่อมมีปัญหาเรื่องขวัญและกำลังใจ...

...ผู้นำที่พึ่งพาตำแหน่งหน้าที่ มักทำตัวเองให้ดูดี...

...กีดกันไม่ให้คนอื่นก้าวขึ้นมา ข่มขู่ ทำให้คนอื่นรู้สึกด้อยค่า...

...โดยมีวิธีการ ดังนี้...

...2.1.ไม่เชื่อมั่นในคนอื่นอย่างแท้จริง...
...2.2.ทึกทักเอาว่าคนอื่นทำไม่ได้ แทนที่จะคิดว่าพวกเขาทำได้...
...2.3.ทึกทักเอาว่าคนอื่นไม่ยอมทำ แทนที่จะคิดว่าพวกเขาจะลงมือทำ...
...2.4.พร้อมที่ี่จะมองเห็นปัญหาของคนอื่น มากกว่าจะเห็นศักยภาพของเขา...
...2.5.มองคนอื่นเป็นหนี้สิน แทนที่จะเห็นเป็นสินทรัพย์...

...ตัวอย่างให้เห็นภาพของจริงในทีมงานของผม...

...ทีมงานทุกท่านครับ ท่านเป็นผู้มีพระคุณของผมครับ...

...ผมมีตำแหน่ง (position) ในผังองค์กรที่อยู่ก่อนพวกท่าน รายได้ของผมจึงมาจากการทำงานของพวกท่าน...

...ท่านจึงเป็นผู้มีพระคุณของผม...

..ผมสามารถตอบแทนบุญคุณทีมงานทุกท่านด้วยการทุ่มเทการทำงานให้องค์กรเจริญเติบโต จนสุดความสามารถของผม...

...ส่วนท่านจะรับเจตนาความหวังดีของผมหรือไม่ ท่านจะมีความรู้สึกอย่างไรต่อผม ท่านจะวิพากษ์ วิจารย์ผมอย่างไร ผมก็น้อมรับด้วยความเคารพ...

...เบื้องต้น ผู้นำต้องมีค่านิยมหลักที่ยึดถือ และปฏิบัติเป็นแบบอย่างจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต...

...ใครจะดี หรือไม่ดีอย่างไร เราไม่ควรและไม่สามารถไปตัดสินใคร เป็นเรื่องของเขา แต่ตัวเราซึ่งเป็นผู้นำต้องยืนหยัดในคุณค่าแท้ของเราให้เขาพิสูจน์ได้...

...โดยตรรกะที่ไม่ผิดเพี้ยนเหล่านี้ ผู้ใต้บังคับบัญชา, ลูกน้อง, ดาวไลน์ ฯลฯ และทีมงานทุกท่านจึงเป็นผู้มีพระคุณต่อผู้บังคับบัญชา หัวหน้า อัพไลน์ ฯลฯ...

...ส่วนถ้าผู้ใต้บังคับบัญชา, ลูกน้อง, ดาวไลน์ ฯลฯ และทีมงานคนไหนมีความรู้สึกว่าผู้บังคับบัญชา หัวหน้า อัพไลน์ ฯลฯ เป็นผู้มีพระคุณต่อเขา ก็เป็นเรื่องส่วนตัวเป็นคน ๆ ไป...

...ผู้นำที่อาศัยตำแหน่งหรือหน้าที่ในการโน้มน้าว (Influence) คนอื่น ค่อนข้างจะทำงานร่วมกับคนอื่นได้ไม่ดีนัก บางคนไม่ชอบผู้คนเลยด้วยซ้ำ...

...พวกเขาเป็นผู้นำคนอื่นโดยละเลยความเป็นมนุษย์ไปหลายๆด้าน...

...ไม่สนใจว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีความหวัง มีความฝัน มีความปรารถนา และมีเป้าหมายของตัวเอง...

...พวกเขาไม่ได้ตระหนักว่า ในฐานะผู้นำ พวกเขาต้องนำวิสัยทัศน์และความปรารถนาของคนในทีมมารวมกันในแบบที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับทุกๆคน...

..พวกเขาไม่สามารถเป็นผู้นำที่ดีได้ เนื่องจากไม่ยอมรับรู้และใส่ใจว่า ภาวะผู้นำไม่ว่าจะรูปแบบไหน ในสถานที่ใด หรือเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม...

..."มันเป็นเรื่องของการทำงานร่วมกับคนอื่น"...

...ติดตามในตอนที่ 20 ค่ะ..

ขอบคุณบทความของ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร

4 สาเหตุที่ทำให้คุณไม่ประสบความสำเร็จสักที


4 สาเหตุที่ทำให้คุณไม่ประสบความสำเร็จสักที

เชื่อว่าทุกท่านเคยผ่านประสบการณ์นี้มาแล้ว คือการตั้งเป้าหมาย มุ่งมั่นทำอะไรสักอย่าง ช่วงแรกๆ อาจดูมุ่งมั่น ตั้งใจเป็นพิเศษ แต่เมื่อทำไปนานๆ ก็เริ่มรู้สึกไม่อยากทำ หมดกำลัง และกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิม… เรามาลองทบทวนสาเหตุกันดูดีกว่าทำไมเราถึงไม่ประสบความสำเร็จสักที ซึ่ง ชี้ช่องรวย ได้นำมาฝากกันค่ะ





1. เป้าหมายไม่ชัดเจน และไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆ

บางคนชอบตั้งเป้าหมายแบบลอยลม ไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า เป้าหมายนั้นเราต้องการมันจริงๆ หรือไม่ เห็นคนอื่นทำ ก็อยากทำบ้าง เห็นคนอื่นเป็น ก็อยากเป็นบ้าง พอลงมือทำได้สักพัก ก็เกิดความเบื่อหน่าย และเป้าหมายก็ล้มเหลว



2. ใจไม่แข็งพอ

การที่เราล้มเลิกเป้าหมายกลางทาง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราขาดจิตใจที่เข้มแข็ง ขาดความมุ่งมั่น ตั้งใจ และขาดศรัทธา พอมีสิ่งอื่นมากระทบกระเทือน ก็หมดความตั้งใจไปในที่สุด



3. รักสบาย

บางคนเสพติดกับการชีวิตแบบสบายๆ ไม่ต้องมานั่งลำบาก บังคับตนเองให้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน สุดท้ายพอรู้สึกไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ก็เริ่มไม่อยากทำ ก็เลยกลับมาเลือกใช้ชีวิตสบายๆ แบบเดิม



4. ขาดสมาธิในการจดจ่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ปัจจุบันคนเป็นเยอะ เนื่องจากเทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ข่าวสาร การติดต่อทุกอย่างมาอยู่ในมือของเราหมด เวลาทำอะไร ก็มักถูกดึงความสนใจได้ง่ายๆ เช่น เวลาลงมือทำอะไรสักอย่าง แต่พอได้ยินเสียงเตือนจากโทรศัพท์ ก็อดไม่ได้ที่จะต้องหยิบขึ้นมาเช็ค เช็คไปเช็คมา ก็หมดเวลาไปหลายนาที หรือเผลอๆ หมดเป็นชั่วโมง




ขอขอบคุณ
ที่มา : prakal.wordpress.com

เรียบเรียง :

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2558

5 วิธีคิดบวกเพื่อความสำเร็จในอนาคต








5 วิธีคิดบวก เพื่อความสำเร็จในอนาคต




การคิดบวกสามารถสร้างพลัง สร้างแรงบันดาลใจ ให้ชีวิตใครหลายๆ คน ที่กำลังอยู่ในสภาวะเครียดที่เกิดจากการทำงาน หรือเรื่องในครอบครัว... นอกจากการคิดบวกจะช่วยทำให้ชีวิตดูมีคุณค่าขึ้นแล้ว ยังจะช่วยให้มองเห็นหนทางเข้าใกล้กับความสำเร็จที่เคยคาดหวังไว้ให้ง่ายมากขึ้นด้วย... แล้วการคิดบวกต้องเริ่มต้นอย่างไร? มาดูกันเลยค่ะ

1. ให้เกียรติตัวเอง

การเริ่มต้นในการคิดบวกคือการให้เกียรติตัวเอง ไม่ควรตอกย้ำตัวเองเมื่อทำเรื่องน่าอับอาย เมื่อเกิดข้อผิดพลาดให้คิดว่านั่นคือประสบการณ์ที่ดี และควรหาทางแก้ไขปัญหา

2. จัดการความเป็นเด็กให้เหมาะสม

เชื่อว่าคนที่ประสบความสำเร็จมีความเป็นเด็กอยู่ในตัวทุกคน แต่เขาจะจัดการกับความเป็นเด็กอย่างถูกต้อง ใช้ความเป็นเด็กในที่ๆ เหมาะสม รู้จักควบคุมอารมณ์ ไม่ทำตามใจตัวเองกับเรื่องที่จริงจัง เปิดใจและใช้เหตุผล

3. ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่นั่น

ถือเป็นคติขั้นพื้นฐาน และผู้ประสบความสำเร็จก็มักยึดคตินี้ไว้เพื่อให้ตัวเองก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ เมื่อไรที่ก้าวพลาด พวกเขาจะไม่มีวันหันหลังกลับไปมอง แต่จะเดินหน้าแก้ไข และเดินต่อไปสู่ความสำเร็จที่รออยู่

4. ล้มเหลวเพียงหนึ่ง ไม่ได้แปลว่าล้มเหลวทั้งชีวิต

ผู้ยิ่งใหญ่ที่โลกจดจำก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง พวกเขาลองผิด ลองถูกมาหลายครั้งกว่าจะประสบความสำเร็จ แต่เคล็ดลับคือเขาสามารถค้นพบสิ่งที่ตัวเองรักและถนัด แล้วลงมือทำเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมาย ดังนั้นหากคุณไม่ถนัดกับสิ่งที่ทำอยู่ จงอย่าย่อท้อ แต่ควรหาสิ่งที่ใช่สำหรับคุณให้ได้

5. พรุ่งนี้ที่ดีกว่า รออยู่ข้างหน้าเสมอ

จงภูมิใจกับความผิดพลาดที่ผ่าน ให้อภัยตัวเอง มองหาต้นเหตุของปัญหา และแก้ไขอย่างมีสติ และมุ่งมั่นทำชีวิตที่ดีขึ้นในวันต่อๆ ไป



ที่มา : http://health.kapook.com/view124176.html

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ภาวะผู้นำ ตอนที่ 18



..ภาวะผู้นำ ตอนที่ 18...


...เพื่อนทุกท่านครับ...


...เรากำหนด "ค่านิยม" ที่เราจะยึดถือจนเป็นตัวตนของเราไว้อย่างไร...

...ผมเชื่อว่า เราควรตั้งหลักความเชื่อของค่านิยมใน 3 เรื่องหลักๆดังนี้...

...1.ค่านิยมด้านจริยธรรม นั่นคือ การทำสิ่งที่ถูกต้องโดยมีเหตุผลที่ถูกต้องมีความหมายว่าอย่างไร...

...2.ค่านิยมด้านความสัมพันธ์ นั่นคือ เราจะสร้างบรรยากาศแห่งความไว้วางใจและความเคารพนับถือร่วมกับผู้อื่นได้อย่างไร...

...3. ค่านิยมด้านความสำเร็จ นั่นคือ เป้าหมายอะไรที่คุ้มค่ากับการดำเนินชีวิต...

...ถ้าเราตอบคำถามเหล่านี้และมุ่งมั่นจะใช้ชีวิตตามค่านิยม 3 ข้อนี้ เท่ากับเรากำลังฝึกฝนความซื่อสัตย์ของตัวเอง...

...ซึ่งจะทำให้เรามีเสน่ห์ต่อทีมงาน และทำให้คนเหล่านั้นอยากเดินตามภาวะผู้นำของเรา...

...ผู้นำที่อ่อนหัดนั้น เขาพยายามใช้ตำแหน่งผลักดันให้ผลการปฏิบัติงานออกมาดี...

...ส่วนผู้นำที่บรรลุนิติภาวะและรู้จักตัวเองนั้น เขารู้ว่าผลการปฏิบัติงานของคนเราไม่ได้อาศัยแรงกระตุ้นจากตำแหน่ง จากอำนาจ หรือว่ากฏเกณฑ์...

...แต่อาศัยแรงสนับสนุนจาก "ค่านิยม"ที่จริงใจ ไม่เสแสร้ง...

...4.3.เราอยากเป็นผู้นำแบบไหน...

...ถ้าอยากเป็นผู้นำที่ดีขึ้น ต้องไม่ใช่แค่รู้จักตัวเองและรู้จักค่านิยมของตัวเอง แต่ต้องใช้ชีวิตตามสิ่งเหล่านั้นด้วย...

...นิสัยและระบบแบบไหนที่เราจะปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ...

...เราจะจัดการตัวเองอย่างไร...

...ทุกวันจะทำอะไรกับการงาน...

...จะฝึกจิตแบบไหนที่จะช่วยให้จิตตัวเองตามทันสิ่งต่างๆ...

...จะปฏิบัติต่อทีมอย่างไร...

...จรรยาบรรณการทำงานของเราคืออะไร จะเป็นแบบอย่างแบบไหน...

...ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา เราป็นคนกำหนด...

... ยิ่งเป็นผู้นำแรก ๆ ยิ่งมีโอกาสเริ่มต้นสร้างอุปนิสัยที่ดีตั้งแต่ตอนนี้...

...การเป็นผู้นำคนอื่นนับเป็นโอกาสสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี...

...ภาวะผู้นำที่ดีจะเปลี่ยนชีวิตได้ ช่วยสร้างทีมงาน สร้างองค์กร ส่งผลต่อชุมชน และมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนโลกได้...

...ผมเชื่อว่า ทุกท่านคงเข้าใจและเห็นด้วยกับผม...

...แต่ผู้นำ Position หรือตำแหน่งหน้าที่ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น...

...แล้วข้อเสียล่ะ ผู้นำ Position หรือตำแหน่งหน้าที่มีข้อเสียมั้ย...

...ติดตามในตอนที่ 19 ค่ะ...

ขอบคุณบทความดีๆของ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558

กฎสามข้อที่คน 80%ไม่เคยรู้

กฎสามข้อที่คน 80 % ไม่เคยรู้

เรื่องที่เคยยาก

เรื่องที่เคยไม่มีประสิทธิผล

มันจะเปลี่ยนไป

แล้วคุณอาจจะนึกบอกกับตัวเองว่า

วิธีเหล่านี้มันดีจริงๆ

ทำไมเพิ่งมารู้ตอนนี้



มีน้ำใจ +

แบ่งปันผลประโยชน์+

เทคนิคในการติดต่อ


กฎสามข้อที่คน 80 % ไม่เคยรู้


กฏข้อที่ 1 คุณต้องทำก็คือ “ความมีน้ำใจ”


กฏข้อที่ 2 ก็คือ “การแบ่งปันผลประโยชน์”


บางครั้งก็เรียกว่า “การประสานประโยชน์” หรือ “การเกื้อกูลซึ่งกันและกัน” ซึ่งถ้าคุณมองดูให้ไกลแล้ว คุณจะเห็นว่า


คนที่คบกันได้นาน ก็คือคนที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันมาโดยตลอดนั่นเอง


ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสภาวะสังคมแบบใดก็ตาม ถ้าคุณมีความช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ทุกอย่างก็จะเป็นไปด้วยดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้าที่การงาน หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ฉันมิตรสหาย


ถ้าคนสองคนมีอะไรที่ แบ่งปันผลประโยชน์ หรือช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มาโดยตลอด พวกเขาจะ คบหากันได้นาน


กฏข้อที่ 3 คือ “เทคนิค”


ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 5 ส่วนด้วยกัน สำหรับการใช้เทคนิคในการติดต่อคน ไม่ว่าคุณจะกำลังเดินเข้าไปหาใคร จะเป็นเซลส์เข้าไปหาลูกค้า หรือคุยกับเพื่อนฝูงก็ตาม


>> เทคนิคที่ 1 ต้องใช้ก็คือ “รวบรัด” ปัจจุบันนี้คุณคงจะคุ้นเคยกับหัวข้อในการติดต่อที่เรียกว่า “Techniques of Presentation” ซึ่งเทคนิคในการที่จะ Present หรือ Approach นี้คุณจะต้องเริ่มต้นด้วยการ “รวบรัด” ก่อน


>> เทคนิคที่ 2 คือ คุณต้องมี “เหตุผล” ทุกครั้งที่คุณต้องติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น คุณจะต้องมีเหตุผลในการพูด


>> เทคนิคที่ 3 คือ “ถ่อมตน” คนที่ประสบความสำเร็จจำนวนไม่น้อยที่รู้จักวิธีการถ่อมตน ซึ่งคนที่รู้จักวิธีการถ่อมตนจะมีภาพลักษณ์ในสายตาของคนอื่นว่าเป็นผู้ดี แต่การถ่อมตนในที่นี้ ก็คือการถ่อมตนอย่างพอประมาณ ไม่ใช่ถ่อมตนเสียจนคนอื่นเขามองว่าคุณนั้นดูถูกตัวเองจนเกินไปอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่


>> เทคนิคที่ 4 คือ มี “อารมณ์ขัน” ในการใช้อารมณ์ขัน คุณต้องระวังให้รอบคอบหน่อย ไม่ใช้อารมณ์ขันในสถานการณ์ที่คนอื่นกำลังเศร้าอยู่


>> เทคนิคที่ 5 คือ “นำประโยชน์” ในการพูดทุกครั้งของคุณต้องก่อให้เกิดประโยชน์ เพราะถ้าพูดแล้วไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร ก็จะเป็นการวางเงื่อนไขให้ตัวเองว่า พูดไปวันนี้ไม่ได้อะไรเลย






11391103_906919852702079_788669436024424603_n

ขอบคุณข้อมูลดีๆ

จากสำนักพิมพ์Dดี

จากหนังสือ 27 วิธีครองใจคน

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ปรากฎการณ์เฟิร์มแอนด์ฟิตพิชิตส่วนเกิน





ปรากฏการณ์เฟิร์มแอนด์ฟิตพิชิตส่วนเกิน

เราสามารถรับรู้ถึงรูปร่างที่แท้จริงของเร­า ผ่านสายตาของคนรอบข้างที่มองมา..
เราสามารถสัมผัสได้ถึงเรือนร่างที่ทรงคุณค­่า ผ่านการตอบสนองของเพศตรงข้าม..


สิ่งเหล่านี้..คือความฝันของทุกคน
แต่ทำอย่างไร? ถึงจะมีรูปร่างและสัดส่วนที่สมบูรณ์ได้ดั่­งใจฝัน
และสิ่งที่ท้าทายที่สุดคือ... ทำอย่างไร? ที่จะทำให้ความฝันนั้นกลายเป็นความจริง และเป็นความจริงที่ยั่งยืนถาวร

โดยสิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนโลกของสายตาที่จั­บจ้องมองตัวคุณไปตลอดกาล...




ภาวะผู้นำ ตอนที่ 17



...ภาวะผู้นำ ตอนที่ 17...


...4.1.เราเป็นคนแบบไหน...


...ภาวะผุ้นำที่ดี่เริ่มจากรู้ว่าตัวเองเป็นใคร เป็นเรื่องของการเข้าใจตัวเองก่อน...

...แล้วจึงเอาความเข้าใจนั้นไปสร้างสรรค์องค์กรให้โดดเด่น...

...ผู้นำต้องให้อิสระกับลูกน้องได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่...

...อุปสรรคส่วนมากที่จำกัดศักยภาพของคนเราไว้เริ่มต้นจากตัวผู้นำ...

... และฝังรากลึกอยู่ในความกลัว ในอัตตา ความจำเป็น และนิสัยที่ไม่สร้างสรรค์ของผู้นำ...

...เมื่อผู้นำสำรวจความคิดและความรู้สึกของตนอย่างลึกซึ้งเพื่อทำความเข้าใจตนเองแล้ว การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นได้...

...ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะพยายามรู้จักตนเอง รู้จุดแข็ง จุดอ่อนของตัวเอง เข้าใจนิสัยใจคอของตัวเอง...

...รู้ว่าประสบการณ์เรื่องใดนำมาใช้ได้ดี....

..รู้จักนิสัยการทำงานของตน...

...รู้จังหวะการทำงานในแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละช่วงเวลา...

...เขาจะรู้ว่าทำงานกับคนแบบไหนได้ดี...

...และกับคนแบบไหนที่ต้องพยายามมากขึ้นเพื่อให้ได้ผลงานออกมา...

... พวกเขารู้ดีว่ากำลังมุ่งหน้าไปไหนและรู้ว่าจะใช้วิธีการใด...
...ดังนั้นจึงรู้ว่าพวกเขาทำอะไรได้บ้าง รวมทั้งภาวะผู้นำของคนเหล่านี้ก็มั่นคง...

...การรู้จักตัวเองให้ลึกซึ้งไม่ใช่ของง่ายแต่ต้องอาศัยเวลา...

...เป็นกระบวนการที่ยาวนานและลึกซึ้ง...

...แม้มีบางส่วนอาจไม่สนุกนัก แต่ถ้าอยากเป็นผู้นำที่เก่งขึ้นเรื่องนี้ก็จำเป็น...

..."การรู้จักตัวเอง" ถือเป็นรากฐานของการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ...

...4.2.ค่านิยมของเราเป็นอย่างไร...

...ถ้าผู้นำไม่มีค่านิยมและไม่รักษาค่านิยมหลักเอาไว้ การกระทำย่อมส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆอีกมากมายนอกเหนือจากตัวเอง...

..."ค่านิยม" ถือเป็นหัวใจสำคัญแห่งการเป็นผู้นำ และเป็นตัวผลักดันให้ทำสิ่งต่างๆ...

...ดังนั้นก่อนจะเติบโตและบรรลุนิติภาวะในฐานะผู้นำ คุณต้องเข้าใจค่านิยมของตัวเองให้ชัดเจน...

...และมุ่งมั่นที่จะใช้ชีวิตตามค่านิยมนั้นอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เพราะนี่คือการกำหนด"พฤติกรรม"ของคุณ รวมไปถึงจะมีอิทธิพลต่อภาวะผู้นำของคุณด้วย...

...ติดตามในตอนที่ 18 ค่ะ...

ขอบคุณบทความของ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร

วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558

การสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง


เคล็ดลับง่ายๆ ในการสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง
ในชีวิตการทำงาน คนเราต้องสร้างบันดาลใจให้กับตัวเอง เพื่อให้งานที่ทำอยู่หรือธุรกิจประสบความสำเร็จ โดยมีวิธีการสร้างแรงบันดาลมีอยู่หลากหลายวิธีที่ ชี้ช่องรวย อยากนำเสนอ



1. การตั้งเป้าหมาย

คือการวาดฝันในสิ่งที่ตัวเองต้องการทุกวัน หากคุณหมกมุ่นครุ่นคิดกับเรื่องนั้นๆ มันมักจะเป็นจริงได้ โดยเฉพาะการสร้างภาพฝันตอนก่อนนอนทุกคืน เหมือนในหนังสือเรื่องเดอะซีเคร็ตได้แนะนำไว้

2. การอ่านหนังสือๆ

เหมือนผู้นำจากหลากหลายประเทศ เขาเหล่านั้นต้องการที่จะเป็นผู้นำ จึงเลือกอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับชีวประวัติผู้นำ หรือบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ทางการเมือง

3. การฟังเทป ฟัง CD เรื่องราวเกี่ยวกับแรงจูงใจ

เพราะใน CD เหล่านั้น จะเล่าเรื่องราวของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ ก็จะเป็นอีกหนึ่งการสร้างแรงบันดาลใจ หากเรานำไปปฏิบัติ ก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน

4. การเข้าอบรมสัมมนา

เพราะในงานเหล่านี้ จะนำบุคคลที่ประสบความสำเร็จมาพูด มาคุย จะทำให้เราทราบความเคลื่อนไหว ข่าวคราวของหน่วยงาน ของกิจการในประเทศ ซึ่งเป็นข่าวที่ใช้ในการทำงานของเราโดยตรง

5. การเข้าร่วมกับกลุ่มที่มีจิตใจและแนวคิดเดียวกัน

เพราะเป็นอีกวิธีหนึ่งในการสร้างแรงบันดาลใจ หากเราได้ทำความรู้จักกับนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้ว เขาจะมีความรู้ดีๆ คำแนะนำดีๆ และเราสามารถนำไปใช้เพื่อให้ธุรกิจของเราประสบความสำเร็จ

6. การหาแบบอย่างหรือบุคคลตัวอย่าง

เราควรหาบุคคลที่ประสบความสำเร็จมาเป็นต้นแบบ แล้วศึกษาว่าเขามีแนวคิด แนวปฏิบัติอย่างไร



ที่มา : http://www.online2rich.com/easy-6-step-inspiration-to-success-life.html

เรียบเรียง : ชี้ช่องรวย.com

LARGE™ : LONG TERM AND RELIABLE GREAT ENTERPRISE

LARGE™ : LONG TERM AND RELIABLE GREAT ENTERPRISE


แผนที่ดีที่สุด คือ แผนที่ไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถสำเร็จได้

DURA WORLD ลงทุนพัฒนาแผนการจ่ายผลตอบแทนที่ดีที่สุดส­ำหรับผู้แทนจำหน่ายของเรา หรือ PROUD ให้สามารถสร้างรายได้สูงที่สุด ด้วยระบบและการจัดการการเงินที่ดีที่สุดโด­ยแผนการจ่ายผลตอบแทนนี้ได้เกิดจากการรวมตั­วพัฒนาของกลุ่มนักคณิตศาสตร์ระดับโอลิมปิก ผู้เชี่ยวชาญทางด้านบัญชีการเงิน รวมถึงผู้เชี่ยวชาญและประสบความสำเร็จทางด­้านเน็ตเวิร์คมาร์เก็ตติ้งระดับโลก ที่ร่วมใช้เวลาในการคำนวนจนสรรสร้างออกมาเ­ป็นแผนการจ่ายผลตอบแทนที่มอบอิสระ และรายได้สูงสุดให้กับทุกคนได้อย่างไร้ข้อ­จำกัด...ที่เรียกว่า...แผนการจ่ายผลตอบแทน LARGE™ : LONG TERM AND RELIABLE GREAT ENTERPRISE



NEW™ : Network E-Business Workstation

NEW™ : Network E-Business Workstation

NEW™, Network E-Business Workstation
ระบบปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะที่ DURA WORLD มุ่งมั่นออกแบบพัฒนามาอย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อเป็นเครื่องมือในการดำเนินธุรกิจสำหร­ับ PROUD ผู้แทนจำหน่ายผู้ทรงเกียรติของเราทุกคนด้ว­ย Function การใช้งานที่เพียบพร้อม ตอบโจทย์สูงสุดในการบริหารธุรกิจให้ประสบค­วามสำเร็จ บนความปลอดภัยสูงสุดจากการทำธุรกรรมผ่าน PayPal สถาบันการเงินออนไลน์อันดับหนึ่งของโลกซึ่­งได้ลงนามร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับเรา




วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2558

วิธีสร้างกำลังใจให้ตนเอง


วิธีสร้างกำลังใจให้ตนเอง

ชีวิตของคนเรานั้นประกอบด้วย ‘กาย’ และ ‘ใจ’ ทั้งสองสิ่งต่างสัมพันธ์กันอย่างสนิทแน่น หากเรามีกำลังกายที่ดี มีสุขภาพแข็งแรง มีจิตใจมุ่งมั่น ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค ไม่ว่าเราจะทำการสิ่งใดก็ย่อมจะประสบผลสำเร็จ เนื่องจากมีกำลังใจที่ดีเป็นตัวกำหนด ดังนั้น เราจึงควรเรียนรู้ที่จะฝึกให้กำลังใจกับตัวเอง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้หัวใจของเราแข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วยเทคนิค ดังนี้




  • กล้าเผชิญหน้ากับความกลัว

คนที่นิสัยขลาดกลัวย่อมยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต หลักจิตวิทยาสอนวิธีขจัดความกลัวโดยให้เชื่อในความเป็นจริง ลองเขียนเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกกลัว วิตกกังวล หรือมีความทุกข์ลงในกระดาษ จากนั้นลองหาสาเหตุและวิธีแก้ไข ขั้นตอนสำคัญต่อมาคือ ต้องกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวเพื่อขจัดให้หมดไปจากใจ ถือเป็นหนึ่งในวิธีสร้างกำลังใจโดยตรง ยิ่งเรากลัวน้อยลงเท่าไร เราจะยิ่งมีกำลังใจมากขึ้นเท่านั้น

  • สร้างนิสัยสดชื่นอยู่เป็นนิจ

ความสดชื่นแสดงออกถึงความสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ พร้อมจะเติบโตก้าวหน้าต่อไป และทำให้ผู้ที่มีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดมีความสุขสดชื่นตามไปด้วย แม้ว่าในความเป็นจริงเราอาจจะมีความทุกข์ แต่หากเอาแต่โศกเศร้า นอกจากจะทำให้เรารู้สึกอ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว ผู้คนก็จะพากันหนีห่าง จึงควรสร้างนิสัยสดชื่นไว้อยู่เสมอ รวมทั้งสร้างสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้สดชื่นแจ่มใส อยู่เสมอ

  • มองหาข้อดีของตนเอง

ยอมรับคุณค่าในตนเอง ต้องเชื่อว่าตัวเองสามารถทำได้ โดยขจัดความคิดหรือคำพูดในแง่ลบออก อย่าคิดเปรียบเทียบกับผู้อื่นในรูปแบบของการทำลายความเชื่อมั่นในตนเอง วิจารณ์และตรวจสอบวิธีทำงานของตัวเองว่ามีข้อบกพร่องอะไรบ้าง พึงระลึกเสมอว่าทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาจะเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ทำให้เราแข็งแกร่งและเข้มแข็งยิ่งขึ้น

  • มองโลกในแง่ดี

มีความหวัง คิดในแง่บวกว่าพรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้ ดังนั้นปัญหาหรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เราก็ต้องเอาชนะได้เช่นกัน และต้องเริ่มทำความเข้าใจว่าชีวิตมีขึ้นมีลงอยู่เสมอ ความทุกข์จึงไม่อยู่กับเราอย่างถาวร สักวันหนึ่งมันต้องผ่านพ้นไปอย่างแน่นอน ถ้าสามารถอดทนผ่านวันนี้ไปได้ เราก็จะชนะในที่สุด

  • ฝึกเป็นคนมุมานะอดทน

ความมานะอดทนเป็นกำลังใจอีกรูปแบบหนึ่ง และเป็นคุณสมบัติที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งของผู้ที่จะประสบความสำเร็จ บุคคลประเภทนี้จะสามารถควบคุมตัวเองได้ รู้จักการรอคอย ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค หากผู้ใดต้องการความก้าวหน้าและความสำเร็จในชีวิต จะต้องปลูกฝังคุณสมบัตินี้ไว้ให้เป็นนิสัยตลอดไป

  • หากิจกรรมทำอยู่เสมอ

ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กงานน้อย เช่น งานบ้าน งานอดิเรก อย่าปล่อยตัวปล่อยใจให้ว่าง เมื่อเราทุ่มเทสมาธิทำงาน ไม่มีเวลาคิดฟุ้งซ่าน ไร้สาระ ความคิดวิตกกังวลก็จะหมดไป สิ่งสำคัญอีกอย่างคือให้กำลังใจตัวเอง บอกกับตัวเองว่าต้อง ‘ทำได้’ อยู่เสมอ เมื่อลงมือทำแล้วรู้สึกว่าเราทำได้ จิตใจจะรู้สึกเข้มแข็งขึ้นพร้อมที่จะลุกขึ้นมาสู้ต่อไป

  • วางแผนเป้าหมายในอนาคต

พิจารณาว่าเราอยากทำอะไรต่อจากนี้อีก เช่น เรียนจบปริญญาโท ซื้อบ้านและรถยนต์ หรือคิดถึงคนที่เรารัก รวมทั้งคนที่รักเรา ให้นำสิ่งเหล่านี้มาเป็นกำลังใจในการต่อสู้ และพร้อมใช้ความสามารถที่มีอย่างเต็มกำลังเพื่ออนาคต ถ้าทำสำเร็จเราก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการ ขณะเดียวกันก็ทำให้ทุกคนมีความสุขด้วย

  • ลองศึกษาชีวิตของผู้อื่นจากสื่อต่างๆ

อาทิ หนังสือ ภาพยนตร์ แล้วจะพบว่าคนดังที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทุกคนมักผ่านความทุกข์ยากลำบากมาแล้วทั้งนั้น การได้เห็นชีวิตที่ไม่ยอมแพ้ของผู้อื่น ถือเป็นแบบอย่างที่ดีที่ทำให้เราเกิดกำลังใจและมีพลังใจที่จะฮึดสู้เหมือนพวกเขา หรืออาจเพิ่มพูนกำลังใจด้วยการนำข้อคิดดีๆ คำคมของ ‘Idol’มาใช้เป็นกำลังใจในการดำเนินชีวิตของเราต่อไปได้

จะเห็นว่ากำลังใจเป็นสิ่งที่เราสามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ เริ่มต้นจากตัวเราเองต้องฝึกให้กำลังใจแก่ตนเอง จะทำให้เรากลายเป็นคนเข้มแข็งทั้งกายและใจ มีความสุขกับการดำเนินชีวิตและมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในทุกๆ ด้าน



ที่มา : วารสารสายใจไฟฟ้า

ภาวะผู้นำ ตอนที่ 16



...ภาวะผู้นำ ตอนที่ 16...

...4.ตำแหน่งผู้นำเปิดโอกาสให้ผู้นำที่มีศักยภาพได้สร้างรูปแบบการเป็นผู้นำของตนเอง...


...ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีที่สุด นั่นคือ มันเปิดโอกาสให้ตัดสินใจว่าพวกเขาอยากจะเป็นผู้นำแบบไหน...

...หากเปรียบกับกระดาษหนึ่งแผ่น เมื่อได้กลายเป็นผู้นำ หน้ากระดาษการเป็นผู้นำของคุณยังว่างเปล่า...

...คุณต้องเติมเต็มกระดาษแผ่นนั้นให้เป็นแบบไหนที่คุณต้องการ...
... ลองถามตัวเองดูว่าอยากจะเป็นผู้นำแบบไหน...

...ต้องคิดเรื่องนี้ดี ๆ...

...อยากเป็นผู้นำที่ใช้อำนาจในทางที่ผิด...

... หรือเป็นผู้นำที่สร้างทีมงาน...

...อยากเอาแต่จะออกคำสั่ง หรือว่าจะตั้งคำถาม...

...คณอยากเป็นแบบไหน? ก็ทำแบบนั้น...

...คุณจะสร้างรูปแบบอะไรขึ้นมาก็ได้ตามที่คุณต้องการ ตราบใดที่ยังสอดคล้องกับตัวคุณเอง...

...ภาวะผู้นำไม่ค่อยเกี่ยวกับว่าคุณลงมือทำอะไร สิ่งสำคัญกว่านั้นคือตัวคุณเป็นคนอย่างไรมากกว่า...

...ถ้ามองว่าการเป็นผู้นำคือการใช้เล่ห์เหลี่ยมสารพัด หรือแสดงพฤติกรรมที่ดึงดูดเพื่อจะกอบโกยผลประโยชน์ส่วนตน ผู้คนก็มีสิทธิ์จะเสื่อมศรัทธาได้...

...แต้ถ้าหัวใจสำคัญของภาวะผู้นำของคุณ ออกมาจากตัวตนที่แท้จริงและความทะเยอทะยาน คุณก็มีสิทธิขอร้องให้คนอื่นอุทิศตัวเพื่อองค์กรและภารกิจขององค์กรได้...

...ถ้าเรายังใหม่เรื่องภาวะผู้นำ หรือเพิ่งได้รับตำแหน่งผู้นำ นี่คือโอกาสเหมาะที่สุดแล้วที่จะใช้รูปแบบผู้นำที่คุณอยากจะสร้างขึ้น...

...ท่านที่ยังไม่เคยเป็นผู้นำในเครือข่ายใดมาก่อน จึงถือได้ว่า นี่คือ ความโชคดี...

...แต่ถ้าเป็นผู้นำมาอย่างโชกโชนแล้ว ก็ควรทบทวนวิธีการเป็นผู้นำของตัวเอง และปรับเปลี่ยนแก้ไขได้...

...แต่อย่างไรก็ตาม คุณต้องต่อสู้กับความคุ้นเคยในอดีตของคนอื่น และการเอาชนะความคาดหวังของคนเหล่านั้น...

...เมื่อคุณพัฒนาตัวเองไปได้มากขึ้น มีอยู่ 3 เรื่องที่ควรคำนึงถึง...

...4.1.เราเป็นคนแบบไหน...
...4.2.ค่านิยมของเราเป็นอย่างไร...
...4.3.และเราอยากเป็นผู้นำแบบไหน...

...ติดตามในตอนที่ 17 ค่ะ...

ขอบคุณบทความจาก

นพ.ไมตรี พิชญังกูร

DuraWorld





















วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ภาวะผู้นำ ตอนที่ 15

.

...ภาวะผู้นำ ตอนที่ 15...


...ถ้าพอจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้สักอย่างกับองค์กร ทุกท่านครับ ท่านคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรเพื่อให้องค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น...


...คนส่วนมากจะพูดถึงสิ่งที่อยู่ในรายการ P ต่าง ๆ อันได้แก่...

...1ผลิตภัณฑ์ (products)...
...2.การเลื่อนตำแหน่ง (promotions)...
...3.นโยบาย (policies)...
...4.กระบวนการ (processes)...
...5.วิธีปฏิบัติ (procedures)...
...6.การตั้งราคา (pricing)...
...7.และผู้คน (people)...

...แทบไม่ค่อยมีใครตอบสิ่งที่สำคัญที่สุด และส่งผลต่อคำตอบทั้งหมดที่กล่าวมาเลย...

...นั่นคือ "ME" หรือตัวฉันเอง ฉันจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อพัฒนาองค์กรของเรา"...

...แต่คำตอบที่แทบไม่ค่อยได้ยินนั่นแหละคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ...

...ถ้าอยากเป็นผู้นำ ต้องพัฒนาตัวเอง...

...วิธีเดียวที่จะพัฒนาองค์กรคือต้องสร้างและพัฒนาผู้นำ...

...ฉะนั้น ถ้าอยากสร้างอะไรดี ๆ และมีผลไปถึงสิ่งรอบข้าง ก็ขอให้เริ่มต้นที่ตัวคุณเอง...

...ผู้นำที่สร้างความเสียหายให้องค์กรได้มากที่สุดคือพวกที่คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้ว ได้รับตำแหน่งแล้ว...

...พอได้ตำแหน่งสมปรารถนาก็จะหยุดพัฒนาตัวเอง หยุดหาความรู้ หยุดคิดอะไรใหม่ๆ หยุดปรับปรุง อาศัยสิทธิประโยชน์ต่างๆและปิดกั้นทุกอย่าง...

...ถ้าท่านเคยประสบความสำเร็จไม่ว่าเรื่องอะไรจากที่อื่นมา ไม่ได้การันตีว่าท่านจะประสบความสำเร็จที่เพนดูรา...

...ถ้าท่านเคยประสบความสำเร็จจากเครือข่ายอื่นมา ก็ไม่ได้การันตีว่าท่านจะประสบความสำเร็จที่เพนดูรา...

...ในขณะเดียวกัน ถ้าท่านไม่เคยประสบความสำเร็จไม่ว่าเรื่องอะไรจากที่อื่นเลย ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะไม่ประสบความสำเร็จที่เพนดูรา...

...หรือแม้แต่ว่า ถ้าท่านไม่เคยประสบความสำเร็จในเครือข่าย หรือไม่เคยทำเครือข่ายมาก่อนเลย ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะไม่ประสบความสำเร็จที่เพนดูรา...

...วิธีเดียวที่จะประสบความสำเร็จในเพนดูรา คือ ต้องสร้างและพัฒนาผู้นำ...

...ฉะนั้น ขอให้เริ่มต้นที่"ตัวเราเอง"...

...ติดตามในตอนที่ 16 ค่ะ...

ขอบคุณบทความจาก

นพ.ไมตรี พิชญังกูร