...ภาวะผู้นำ ตอนที่ 4...
...ภาวะผู้นำที่ดี จึงไม่ใช่การทำให้ตัวเองก้าวหน้า แต่เป็นการทำให้ทีมงานก้าวหน้า เมื่อไหร่ที่เราเป็นผู้นำที่ดี พร้อมกับช่วยทีมงานให้กลายเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ เส้นทางการทำงานที่ก้าวหน้าก็ไม่น่าจะหนีไปไหนครับ...
...การขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ละครั้งที่ก้าวขึ้นไป ต้องยอมเหนื่อย ต้องมุ่งมั่นมากขึ้น ต้องทุ่มเทมากขึ้น และต้องใช้พลังมากขึ้นในแต่ละครั้งที่เราอยากก้าวขึ้นไป...
...ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ไม่มีใครประสบความสำเร็จได้ด้วยการทุ่มเทเพียงเล็กน้อย ไม่มีทีมใดเป็นแชมป์ได้โดยไม่เสียสละหรือลงมือทำอย่างสุดความสามารถ...
...เมื่อเราทุ่มเทการพัฒนาจนภาวะผู้นำยิ่งสูงขึ้น ๆ นั้น ในฐานะผู้นำ ผลตอบแทนจากการทุ่มเทก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นในแต่ละระดับเหมือนกัน...
...ยิ่งองค์กรมีผู้นำที่เก่งมากขึ้นเท่าไหร่ ุทกคนในองค์กรก็ยิ่งเก่งขึ้น เมื่อไหร่ที่ประสิทธิภาพสูงขึ้น ความสัมพันธ์ดีขึ้น ขวัญและกำลังใจดีขึ้น กระแสในทางบวกดีขึ้น ผลตอบแทนก็ย่อมดีขึ้น...
...เวลาผู้นำก้าวไปสู่ภาวะผู้นำที่สูงขึ้น ก็จำเป็นต้องมีทักษะหรือความสามารถเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ แต่ละก้าวจึงทำให้ต้องพัฒนาตัวเองเพิ่มขึ้น...
...การเติบโตขึ้นเป็นผู้นำต้องอาศัยการพัฒนาตนเองอย่างตั้งใจจริง บวกกับประสบการณ์ในเรื่องภาวะผู้นำ...
...ถ้าหวังเพิ่งประสบการณ์อย่างเดียว ไม่ยอมตั้งใจหาความรู้และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับระดับต่อไป ก็ไม่มีทางเป็นผู้นำที่ดีขึ้นได้...
...ในทางกลับกัน ถ้าเตรียมแต่หาความรู้ แต่ไม่ยอมลองเสี่ยง และลองผิดลองถูกเพื่อหาประสบการณ์ ก็ยังคงไม่ก้าวหน้าไปไหน...
...ต้องอาศัยทั้งสองอย่างบวกกับพรสวรรค์อีกพอสมควร...
...การเรียนรู้และพัฒนาเรื่องของภาวะผู้นำ + ประสบการณ์ + พรสวรรค์...
...ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น นักกีฬาในระดับมหวิทยาลัย ซึ่งทุกคนต่างก็มีพรสวรรค์ระดับหนึ่ง แต่การจะก้าวไปสู่ระดับอาชีพ สิ่งที่จะช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จ คือ การตั้งใจพัฒนาตัวเอง กับเรื่องประสบการณ์...
...นักกีฬาที่หวังเพิ่งประสบการณ์จากรั้วมหาวิทยาลัยอย่างเดียว มักไปได้ไม่ถึงไหน...
...ในขณะที่พวกที่เตรียมร่างกายและจิตใจอย่างดี แต่ไม่เคยหาประสบการณ์จากการแข่งขันจริงเลย ก็ไปไม่ถึงไหนเหมือนกัน...
...ถ้ามัวแต่เรียนรู้ รู้ไปหมดทุกเรื่อง อ่านหนังสือทุกเล่ม แต่ไม่เคยออกไปหาประสบการณ์เลย ก็จัดอยู่ในประเภท "เพ้อ" ซึ่งเป็นสาเหตุของความล้มเหลว...
...มีความรู้เยอะแยะ แต่ไม่สามารถนำความรู้นั้นไปทำให้ออกดอกออกผลได้ ความรู้จึงไม่ออกฤทธิ์ ประเภทมีความรู้ท่วมหัว แต่เอาตัวไม่รอด...
...ซ้ำร้ายกว่านั้น บางคนมีความรู้ท่วมตัว แต่เอาหัวไม่รอด...
...เคยเห็นมั้ยครับ...
...ความรู้ท่วมตัว แต่เอาหัวไม่รอด...
...มีความรู้มากมาย แต่เมื่อไม่ประสบความสำเร็จ จึงเอาปืนยิงหัวตัวเอง...
...นี่เขาเรียกว่า ความรู้ท่วมตัว แต่เอาหัวไม่รอด...
...อาจจะเพิ่งเคยได้ยิน ที่นี่เป็นครั้งแรก...
...ถ้ามัวแต่ทำ ทำอย่างทุ่มเท แต่ไม่อ่านหนังสือ ไม่มีความรู้เลย ไม่ศึกษา ไม่พัฒนาการเปลี่ยนแปลงเลย ก็จัดอยู่ในประเภท "พัง" ซึ่งเป็นสาเหตุของความล้มเหลวเหมือนกัน...
...สรุปคือ ทั้งตัวเราและสมาชิกของทีมทุกคนจำเป็นต้องพัฒนาภาวะผู้นำ จนองค์กรมีผู้นำที่เก่งมากขึ้น ก็จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น ทุกคนที่เกี่ยวข้องก็จะได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น นั่นเอง...
...ไม่ว่าจะเป็นผลตอบแทนในด้านไหน ๆ เช่น ทรัพย์สินเงินทอง,เกียรติยศ,ชื่อเสียง,ความมีอิสรภาพแห่งตัวตน หรือแม้แต่ Passive Income ที่มีอิสรภาพที่แท้จริง ฯลฯ เป็นต้น...
...สมการจึงเป็นแบบนี้...
...การเรียนรู้และพัฒนาเรื่องของภาวะผู้นำ + ประสบการณ์ + พรสวรรค์ + การชี้แนะ...
...กระบวนการทั้งหลายเหล่านี้ จึงต้องอาศัย ให้ความช่วยเหลือ และพึ่งพิงสมาชิกทุกคนซึ่งกันและกัน จยก่อเกิดเป็นทีมที่มีทิศทางเดียวกัน พลังบวกจึงจะเกิดขึ้นได้...
...เพราะไม่มีทางใดอีกแล้วที่จะเพิ่มผลกระทบทางบวกให้โลกใบนี้ และเพิ่มคุณค่าให้กับบุคคลอื่นได้ดีกว่าการเพิ่มความสามารถด้าน "ภาวะผู้นำ" ของคุณ...
...เมื่อบรรยายมาถึงตรงนี้ ทกท่านคงจะมีคำถาม ว่า...
...แล้วเวลานี้ เรามีภาวะผู้นำระดับไหนกับผู้คนของเรา...
ขอบคุณบทความดีๆที่ทรงคุณค่าจาก
นพ.ไมตรี พิชญังกูร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น